คมศานต์ เล่าย้อนกลับไปถึงช่วงชีวิตในวัยเด็กว่า เขาเกิดมาในครอบครัวยากจน พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาดูโลก มียายคอยเลี้ยงดูพร้อมกับขายก๋วยเตี๋ยวไปด้วย ส่วนแม่ก็ต้องไปทำงานโรงงาน ตั้งแต่เด็กเขาก็ต้องคอยช่วยงานยาย พร้อมกับหาเงินค้าขนมไปด้วย ตั้งแต่เก็บสังกะสี เศษเหล็กไปขาย พอถึงช่วง ม.3 ก็ไปเป็นทั้งพนักงานล้างจานและเด็กปั๊ม พอเรียนจบก็เข้าเรียนต่อสายอาชีพด้านการตลาด
ด้วยความคะนองของชีวิตวัยรุ่น ช่วงที่เรียนปวช. คมศานต์ ก็ทำตัวเกเร ติดเพื่อน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ยกพวกตีกัน และไม่เข้าเรียน จนทำให้เกรดตกถึง 20 วิชา แต่ก็ยังดั้นด้นแก้มาจนจบชั้นปวส. พอเข้าเรียนเทียบปริญญาตรีอีก 2 ปี เขากลับทำตัวเกเรยิ่งกว่าเดิม ทั้งรับแทงหวย แทงบอล ทำตัวแย่อีกมากมาย จนสุดท้ายเรียนไม่จบ “วันหนึ่งตอนที่ผมกำลังนั่งล้างหม้อก๋วยเตี๋ยวอยู่ แม่กับยายเดินเข้ามาบอกกับผมว่า บ้านเรามีผมที่เรียนสูงที่สุด ก๋วยเตี๋ยวทุกชาม เงินทุกบาทที่แม่หามาได้มันก็เป็นเงินค่าเล่าเรียนให้ผมทั้งหมด อยากให้เรียนจบและได้รับปริญญาเหมือนกับคนอื่นๆ” คมศานต์ กล่าว
จากประโยคนี้ทำให้คมศานต์ ฉุกคิดได้แล้วกลับไปเรียนอีกครั้งจนจบปริญญาตรี แต่หลังจากนั้นก็ยังหางานไม่ได้ ทำให้ต้องเลือกไปเป็นพนักงานส่งเอกสาร ทำได้อยู่ปีกว่าก็หันไปทำงานขายสินเชื่อทางโทรศัพท์แทน โดยที่ไม่มีเงินเดือน แต่ได้ค่าคอมมิชชั่นตกเดือนละ 30,000 – 100,000 บาท ช่วงนั้นชีวิตเขาก็ดีขึ้น แต่แม้จะหาเงินมาได้มากขึ้นแต่ก็แทบไม่เหลือเก็บ เพราะเขาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและติดเที่ยว พอถึงช่วงเศรษฐกิจไม่ดีทำยอดได้น้อย เงินจึงไม่พอใช้ ทำให้เขาจึงตัดสินใจลาออกไปทำงานบริษัทที่ได้เงินเดือนมั่นคง เริ่มจากเป็น AE ขายโฆษณา แต่เพราะไม่ถนัดทำได้ไม่นานก็ต้องเปลี่ยนงานใหม่ ไปเป็นเซลส์ขายเครื่องนอนของบริษัทรายใหญ่แทน
ในช่วงของการเป็นเซลล์ ชีวิตของคมศานต์ ก็เหมือนจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยความเกเรและฟุ่มเฟือยยังมีอยู่ จึงแอบไปทำผิดกฎบริษัทและถูกจับได้ สุดท้ายต้องถูกไล่ออก ซึ่งช่วงเวลานั้นเอง เขาคิดว่าตอนชีวิตที่แย่ที่สุดในชีวิต เพราะด้วยหนี้สินที่มีมากมาย มีทั้งค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนรถและอื่นๆ ทำให้เขาตัดสินใจฆ่าตัวตาย ด้วยการขับรถฝ่าไฟแดงด้วยความเร็ว หวังจะให้เกิดอุบัติเหตุ แต่แล้วก็เหมือนเทวดายังต้องการให้อยู่ต่อ ตอนนั้นจึงไม่มีเกิดอะไรขึ้น พอผ่านตอนนั้นมาได้ทำให้คมศานต์คิดทบทวนกลับไปว่า เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ยังมีแม่และยายที่รักเขา คอยอยู่ข้างๆ เสมอ นับเป็นกำลังใจชิ้นสำคัญให้เขากลับมาฮึดสู้อีกครั้ง
จากประสบการทำงานเป็นเซลล์ขายเครื่องนอนกว่า 3 ปี ทำให้คมศานต์เริ่มต้นธุรกิจใหม่ ด้วยการรับหมอนเกรดพรีเมี่ยมมาขาย “ตอนเป็นเซลล์ได้มีโอกาสเข้าไปบ้านของลูกค้าระดับไฮโซอยู่บ่อยครั้ง สังเกตเห็นว่า บางรายซื้อหมอนมาเยอะ แต่ก็ไม่ได้ใช้จริง เพราะขนาดกับความสูงก็ไม่เหมาะที่จะใช้นอน ทำให้ต้องเก็บไว้โดยเปล่าประโยชน์ และเรายังรู้ว่า ลูกค้าระดับไฮเอนด์ชื่นชอบหมอนสไตล์โรงแรม เน้นความหรูหรา ตอนนั้นเองยังไม่มีเจ้าไหนทำหมอนเกรดพรีเมี่ยมที่ใช้ในโรงแรม 6 ดาว วางขายในตลาดอย่างจริงจัง ผมจึงลองไปลองรับหมอนแบบเดียวกันนี้มาขาย” คมศานต์ เล่า
ราคาของหมอน LUXURY มีตั้งแต่หลักพันบาทจนไปถึงหลักหมื่นบาท คมศานต์ เริ่มต้นขายหมอนครั้งแรก ด้วยการเปิดบูธที่คอมมูนิตี้มอลล์ใจกลางกรุง ซึ่งผลตอบรับเป็นไปได้ด้วยดี วันแรกขายได้ 10 ใบ จาก 20 ใบที่รับมา จากนั้นก็ขายดีอย่างต่อเนื่อง จนต้องขยายสาขาไปอีกกว่า 10 แห่ง ซึ่งได้แฟนและญาติมาช่วยดูแล และยังมีตัวแทนจำหน่ายมารับไปขายต่ออีกทอดหนึ่งอีกกว่า 49 แห่งทั่วประเทศ จุดนี้เองทำให้เขา เห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจ จึงตัดสินใจสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา ในชื่อ “LUXURY” พร้อมกับกู้เงินจากธนาคารกว่า 13 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิต เมื่อปี 2557 ภายในปีเดียวนั้นเองก็สามารถทำยอดขายได้กว่า 100 ล้านบาท โดยจุดเด่นของหมอน LUXURY คือ การใช้เส้นใยไมโครคลิ้ม (Micro Crimp) ซึ่งเป็นเส้นใยที่มีความละเอียดสูงและผลิตโดยใช้เทคนิคชั้นสูงจากประเทศญี่ปุ่น ทำให้ได้หมอนที่มีคุณภาพนอนแล้วนุ่มสบาย แต่อีกส่วนที่สำคัญที่ทำให้แบรนด์เติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้ คือ เทคนิคการตลาดที่ให้ลูกค้าสามารถนำหมอนกลับมาเปลี่ยนใหม่ได้หากซื้อไปแล้วขนาดไม่พอดี ซึ่งนับว่าเป็นเจ้าเดียวที่กล้าทำ พร้อมกับการไปเสนอขายตามโรงแรมโดยตรง ซึ่งก็ได้ออเดอร์จากส่วนนี้มาจำนวนมาก ในปี 2559 ที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายกว่า 230 ล้านบาท
“คนเราเลือกเกิดไม่ได้ ต้นทุนชีวิตไม่เท่ากัน แต่เราอยู่บนโลกเดียวกัน มีลมหายใจเหมือนกัน มีอวัยวะที่ไม่ต่างกัน ดังนั้น สิ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้คือ ต้องลงมือทำ ถ้าเราลงมือทำแล้วนั้นแปลว่า เรากำลังเข้าสู่ลู่วิ่งของความสำเร็จ” คมศานต์ กล่าวทิ้งท้าย
ภาพจาก www.facebook.com/luxurypillowofficial