กฤษฎา เล่าว่า จากการสำรวจตลาดในเมืองไทยร้านกาแฟอารมณ์เทพนิยายแบบชัดเจนยังไม่มี จะมีก็เพียงบางร้านที่นำของตกแต่งมาตั้งโชว์เท่านั้น แต่ Mocking Tales ได้นำเรื่องราวของเทพนิยาย เช่น Beauty and the Beast, The Lord of the Ring เป็นต้น มาเป็นองค์ประกอบในการตกแต่งร้านราวกับหลุดมาในโลกเทพนิยาย ทั้งการจำลองปราสาทโบราณ หุ่นเหล็กอัศวิน เถาวัลย์ โคมไฟแบบราชวัง ฯลฯ พร้อมเปิดบริการ 2 คอนเซ็ปต์ คือ “Day Light” กลางวันเสิร์ฟขนม ไอศกรีม ชา กาแฟ และสมูทตี้ ส่วน “Night Time” เสิร์ฟเครื่องดื่มค็อกเทลในยามค่ำคืน
“ขณะนี้ธุรกิจกาแฟก้าวสู่ยุคที่เรียกว่า กาแฟ 3rd wave หรือ กาแฟโลกใหม่ ที่ผู้ผลิตให้ความสำคัญกับกาแฟพิเศษ หรือ Specialty Coffee ที่คัดสรรเฉพาะกาแฟคุณภาพดีจากแหล่งปลูกต่างๆ มาชงเสิร์ฟให้คอกาแฟลิ้มลองรสชาติที่แตกต่าง ด้านผู้บริโภคก็หันหน้าเข้าหาร้านคาเฟ่อินดี้มากขึ้น” กฤษฎากล่าว
ดังนั้นผู้บริหารทั้งสองจึงให้ความสำคัญกับการสรรหาทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านการชงกาแฟ และครีเอทีฟที่สามารถสร้างสรรค์ขนมเบเกอรี่โดยใช้ฉากต่างๆ ในภาพยนตร์มาเป็นแรงบันดาลใจ ขณะที่ชื่อและหน้าตาของแต่ละเมนูก็มี “ลูกเล่น” ที่สื่อไปถึงภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ เพื่อตอบโจทย์ความคาดหวังของผู้บริโภค และหวังผลไปสู่ยอดขาย
ตัวอย่างเช่น “ภูเขาไฟลาวาเพลิง” เมนูซิกเนเจอร์ของทางร้าน ซึ่งเป็นเมนูที่สร้างยอดขายหลายแสนบาทต่อเดือน ได้ไอเดียมาจากฉากทำลายแหวนในภาพยนตร์เรื่อง The Lord of the Ring โดยเสิร์ฟมาในกรวยดาร์คช็อกโกแลต ก่อนรับประทานจะมีการเผาช็อกโกแลตให้ละลายเพื่อเผยให้เห็นไอศกรีมโฮมเมดและบราวนี่ชิ้นเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ภายใน หรือกาแฟเมนู “Guinevere” ที่เข้มข้นด้วยเอสเปรสโซ่ช็อตที่มีส่วนผสมของคาราเมลซอส ทอปปิ้งด้วยมาร์ชเมลโล่เบิร์นและครัมเบิ้ลเผาไฟ
เอกพล กล่าวเสริมว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะทรงตัว แต่ธุรกิจร้านกาแฟกลับเปิดตัวเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงให้การตอบรับกับธุรกิจนี้เป็นอย่างดี
“ธุรกิจจะเดินหน้าต้องเริ่มจากการปลูกฝังเรื่องการบริการ เพื่อสร้างความประทับใจให้ลูกค้ากลับมา จึงต้องสร้างสรรค์สินค้าให้มีคุณภาพและติดตลาด สร้างทีมงานให้มีความผูกพันกับธุรกิจ รวมทั้งการใช้มาร์เก็ตติ้งออนไลน์ โซเชี่ยลมีเดีย ซึ่งมีผลต่อการสร้างแบรนด์ในปัจจุบันอย่างมาก ดังนั้นการบริหารงานหน้าบ้านและหลังบ้านจะต้องให้ไปในทิศทางเดียวกัน”