ประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โดยหลักการของกฎหมาย ตามมาตรา 47 คือ ต้องเปิดรับฟังความเห็นจากประชาชน สาธารณชนก่อน ซึ่งกรมอยู่ระหว่างดำเนินการ และคาดว่าจะสามารถเปิดรับความเห็นทางเว็บไซต์ของกรมสรรพกรได้ในเร็ว ๆ นี้ โดยจะเปิดเป็นเวลา 15 วัน ก่อนที่จะรวบรวมความเห็น และเสนอให้ ครม.พิจารณา โดยยืนยันการจัดเก็บจะเป็นไปตามมาตรฐาน และมีความเป็นธรรมอย่างแน่นอน
สำหรับแนวทางในการจัดเก็บเบื้องต้น จะจัดเก็บจากธุรกรรมการซื้อขายสินค้า และการโอนเงินที่เกิดขึ้นในประเทศไทย รวมถึงการดำเนินธุรกิจบนนวัตกรรมการเงินรูปแบบใหม่ อย่างระบบการทำธุรกิจผ่าน e-Payment และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ก็เข้าข่ายต้องชำระภาษี ซึ่งกฎหมายจะให้อำนาจสถาบันการเงินเป็นผู้จัดเก็บภาษี หัก ณ ที่จ่าย แทนกรมสรรพากร โดยเมื่อใดที่มีการโอนเงินเพื่อชำระค่าสินค้า หรือบริการ ทางสถาบันการเงินในไทยมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายจำนวน 5% เพื่อนำไปชำระภาษีให้แก่กรมสรรพากร
ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการจัดเก็บภาษีได้พอสมควร เพราะมูลค่าการทำธุรกรรมบนธุรกิจออนไลน์สูงหลักล้านล้านบาท ที่ผ่านมา ไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ เพราะร้านค้าที่ตั้งขึ้นนั้น ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลอย่างถูกต้อง เป็นการโอนเงินไปยังบุคคลถึงบุคคลเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่ข้อมูลพบว่า กลุ่มออนไลน์ เติบโตเร็วมาก ทำให้ต้องหาช่องทางปิดรูรั่วการจัดเก็บ
ขณะที่กลุ่มธุรกิจที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีอี-คอมเมิร์ซ เช่น
- เว็บไซต์แสดงรูปและราคาสินค้า Catalog Website
- เว็บไซต์เพื่อการขายสินค้า e-Shopping
- การขายสินค้าบนชุมชนเว็บบอร์ด โดยผู้ขายไม่มีเว็บไซต์เป็นของตนเอง Community Web
- เว็บไซต์เพื่อการประมูลขายสินค้า e-Auction (electronic auction)
- เว็บไซต์ห้างสรรพสินค้าออนไลน์ e-Market Place หรือ Shopping Mall
- เว็บไซต์แหล่งซื้อขายภาพถ่ายดิจิตอล Stock Photo
- การรับโฆษณาจากเว็บไซต์กูเกิล Google AdSense
- การทำให้ผลการค้นหาบนกูเกิลติดลำดับแรก ๆ หรือ Search Engine Optimization-SEO
- เว็บไซต์นายหน้าการขายสินค้า และบริการ Affiliate Marketing
- การเล่นเกมผ่านระบบเครือข่ายออนไลน์ Game Online เป็นต้น