โอกาสของคนตัวเล็ก
คุณวีรวุฒิ สังฆพรม เจ้าของบริษัท กาล (30) จำกัด ‘เสือคืนถิ่น’ อดีตหนุ่มออแกไนซ์เมืองหลวง ตั้งใจแน่วแน่หันหลังหวนคืนบ้านเกิด จากชีวิตที่เข็มทิศเปลี่ยนทางเดินจึงเริ่มเล็งหาธุรกิจลงทุน ยกแรกเริ่มจากเมื่อปี 2555 จังหวัดมีนโยบายรณรงค์ให้ชาวอุบลฯ ใส่เสื้อสียางนา เพื่อประชาสัมพันธ์ต้นยางนา ต้นไม้ประจำ จ.อุบลราชธานี คุณวีรวุฒิไม่พลาดที่จะสร้างผลงานลงมือเป็นหัวเรือใหญ่จัดประกวดแฟชั่นโชว์เสื้อผ้าย้อมสียางนา พร้อมนำไอเดียมาต่อยอดธุรกิจภายใต้แบรนด์ ‘ยางนา’ ที่ปัจจุบันทำประโยชน์รอบด้าน ครบวงจร ให้กับชุมชนท้องถิ่น ปรากฏว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือคนรู้จักและจดจำแบรนด์จาก ‘สบู่รังไหม’ มากกว่าเสื้อผ้า จากนั้นจึงเห็นช่องทางทำการตลาด เริ่มลงพื้นที่อย่างจริงจัง เฟ้นหาวัตถุดิบดาวเด่นจากชุมชนต่างๆ พื้นที่ใดชำนาญปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ปลูกต้นมะหาด ขมิ้น ฟักข้าว ฯลฯ ที่มีคุณภาพ ก็ออกไปรับซื้อวัตถุดิบต้นน้ำทั้งหมด ในรูปแบบประกันราคาอีกต่างหาก สบู่โฮมเมดแบรนด์ ‘ยางนา’ มีให้เลือกซื้อหากว่า 50 ชนิด แตกต่างกันไปตามแต่ละวัตถุดิบ แต่สบู่ทุกก้อนจะมีส่วนผสมของรังไหม ซึ่งมีโปรตีนและคอลลาเจนที่ดีต่อผิวพรรณ ปัจจุบันมีชาวบ้านส่งผลผลิตหนอนไหมรวมทุกพื้นที่ตรงถึงแบรนด์มากกว่า 100 กิโลกรัมต่อเดือน จาก 5 จังหวัด ได้แก่ มหาสารคาม ขอนแก่น กาฬสิน ร้อยเอ็ด และยโสธร “ผมมองว่าความสุขแท้จริงของชีวิตครอบครัวหรือแม้แต่การทำธุรกิจ จะเติบโตต่อไปได้นั้นต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน ไม่สามารถทำธุรกิจคนเดียวหรือรวยคนเดียวได้ วงจรธุรกิจที่ผมสร้างขึ้นจึงเป็นการนำภูมิปัญญาชาวบ้านและวัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาร้อยเชื่อมเข้าด้วยกัน เป็นมรดกแผ่นดินที่ต้องสร้างมูลค่า สร้างประโยชน์สู่ชุมชนให้ได้มากที่สุด เมื่อชุมชนสามารถสร้างรายได้เอง ลูกหลานที่พลัดถิ่นไปทำงานไกลๆ ก็จะกลับมาสู่อ้อมกอดครอบครัวมาทำงานที่บ้าน มีรายได้เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัว วันนี้ผมภูมิใจที่ได้มีส่วนสร้างสรรค์ให้สังคมชุมชนบ้านเกิด ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ อนาคตผมตั้งเป้าไว้เลยว่า 100% ลูกหลานในชุมชนผมหรือละแวกใกล้เคียงต้องได้กลับมาทำงานที่บ้าน พัฒนาบ้านไปด้วยกันครับ” ++ในการทำการตลาดนั้น คุณวีรวุฒิตั้งมั่นกับกลยุทธ์ ‘ป่าล้อมเมือง’ และต้องการผลักดันเศรษฐกิจชุมชน เมื่อห้างยักษ์ใหญ่เซ็นทรัลเปิดสาขาที่ จ.อุบลราชธานี โอกาสทองก็มาถึง เขารีบคว้าไว้อย่างไม่ต้องคิด เดินหน้าบุกตลาดเข้าไปแนะนำตัวชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่กำลังทำ ทั้งวิสัยทัศน์และธุรกิจที่เริ่มเป็นรูปธรรม จึงไม่ยากที่จะได้รับการสนับสนุนยินดีให้แบรนด์ ‘ยางนา’ สินค้าจากชุมชนวางจำหน่ายในเซ็นทรัลทุกสาขา ท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ตและแฟมิลี่มาร์ทกว่า 100 สาขาทั่วประเทศ นับเป็นก้าวย่างแห่งความสำเร็จที่ชาวบ้านทุกคนล้วนภาคภูมิใจ สินค้านำร่องขายดีคือ ‘รังไหมขัดหน้า’ ที่นอกจากดีต่อผิวพรรณ รังไหมยังสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ คุณสมบัติที่ต้องหยิบซื้อ และเป็นโอกาสติดปีกรังไหมไทยโกอินเตอร์ ประเดิมประเทศแรกคือจีนที่ตอนนี้ยอดส่งออกมากถึง 40% กระทั่งเกาหลีก็หันมาสนใจรังไหมไทยด้วยคุณสมบัติที่มีเฉพาะ คือ ศูนย์รวมแหล่งโปรตีนประโยชน์สูง ในปีนี้คุณวีรวุฒิจึงวางแผนที่จะเจาะตลาดยุโรปต่อเนื่อง ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างโลชั่นรังไหม และสบู่น้ำมันกลิ่นต่างๆ ส่วนตลาดในประเทศจะเน้นผลิตแบบ OEM ขณะเดียวกันเขาก็ตั้งใจจะขยายธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ภายใต้แบรนด์ PIM ด้วย “ในช่วงที่ธุรกิจขาดสภาพคล่อง เราได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และ SME Bank ช่วยเติมเต็มแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ นำมาซื้อเครื่องจักรเพื่อยกระดับคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานส่งออก สำหรับเอสเอ็มอีที่ทำธุรกิจปัจจุบันนี้โชคดีกว่ารุ่นผมมาก อย่างโครงการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ที่รัฐบาลเข้ามาสนับสนุนและช่วยเหลือ ดอกเบี้ยแค่ 1% ต่อปี ให้เวลาผ่อนชำระหนี้คืนถึง 7 ปี ช่วยลดภาระเงินหมุนเวียนธุรกิจได้มากสำหรับคนที่ทุ่มเททำงานเพื่อชุมชนจริงๆ ในระยะยาวนอกจากจะดึงลูกหลานกลับมาทำงานที่บ้าน ผมยังตั้งใจจะให้คนวัยเกษียณมาร่วมทำงานด้วย เพราะเป็นบุคลากรที่มีคมความคิด มากประสบการณ์ สามารถส่งต่อวิชา ทั้งยังจะเป็นแบบอย่างให้กับคนรุ่นใหม่ต่อไปได้” ผู้สนใจผลิตภัณฑ์ บริษัท กาล (30) จำกัด แบรนด์ ‘ยางนา’ ติดต่อ โทร.09 5652 5355 สำหรับผู้ที่สนใจเข้าถึงกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ทุกสาขา และศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือเอสเอ็มอี www.smessrc.com หรือ Call Center 1357