คุณศีลวัต สันติวิสัฎฐ์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยมีการโอนเงินข้ามประเทศจำนวนมาก ทั้งโอนเงินเพื่อการค้า โอนเงินกลับบ้าน โอนเงินให้บุตรหลานที่ศึกษาอยู่ต่างประเทศ รวมถึงธุรกิจอีคอมเมิร์ช อย่างไรก็ตามที่ผ่านมามีข้อจำกัด คือ ไม่สามารถกำหนดวันรับเงินที่แน่นอนได้ ต้องเสียค่าธรรมเนียมโอนให้กับธนาคารต้นทาง และธนาคารปลายทางยังหักค่าธรรมเนียมจากเงินโอนที่แตกต่างกัน
ทำให้ผู้รับได้รับเงินไม่ครบจำนวนตามวงเงินที่โอน และต้องเสียเวลาสอบถามสถานะเงินโอนตลอดเวลาซึ่งอาจยุ่งยาก ทำให้ทั้งผู้โอนและผู้รับโอนไม่ได้รับความสะดวก ธนาคารกสิกรไทยจึงได้ร่วมมือกับ 3 ฟินเทคชั้นนำผู้ให้บริการโอนเงินผ่านแอปพลิเคชั่นที่ทันสมัย ได้แก่ TransferTo, Instarem และCurrenxie เปิดให้บริการโอนเงินจากต้นทาง 4 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง และออสเตรเลียผ่านธนาคารกสิกรไทยไปเข้าบัญชีของผู้รับเงินที่ธนาคารต่าง ๆ กว่า 30 ธนาคารในประเทศไทย
โดยบริการรับโอนเงินระหว่างประเทศผ่านฟินเทคนี้ ผู้โอนเงินสามารถทำรายการโอนผ่านแอปพลิเคชั่น พร้อมระบุวัน เวลา ที่ปลายทางจะได้รับเงิน อีกทั้งยังรู้ค่าธรรมเนียมการโอนที่แน่นอนทันที จึงมั่นใจได้ว่าผู้รับในไทยจะได้รับเงินเต็มจำนวนและตรงตามเวลาที่กำหนด โดยสามารถโอนเงินได้สูงสุดถึง 500,000 บาท ต่อรายการ
ปัจจุบันมีการโอนเงินรายย่อยขาเข้ามาในประเทศไทยโดยรวมประมาณ 3.8 ล้านรายการต่อปี คิดเป็นมูลค่าราว 1.5 ล้านล้านบาท เป็นการโอนผ่านธนาคารกสิกรไทย 620,000 รายการ มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 16% คิดเป็นมูลค่าการโอนประมาณ 250,000 ล้านบาทต่อปี และสัดส่วนการโอนเงินมาไทยที่โอนนอกระบบธนาคาร (มิใช่การโอนผิดกฎหมาย) ประมาณ 200,000 รายการ มูลค่ากว่า10,000 ล้านบาท
ซึ่งธนาคารกสิกรไทยได้ทดลองเปิดให้บริการรับเงินโอนจากต่างประเทศผ่านฟินเทคมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 คาดว่าในสิ้นปีนี้จะมีลูกค้าใช้บริการประมาณ 20,000 รายการ และในปี 2561 ช่องทางการโอนเงินขาเข้าผ่านแอปพลิเคชั่นจะเติบโตมากกว่า 3 เท่า โดยแนวโน้มใหม่ของการให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้ามากยิ่งขึ้น ขณะนี้ธนาคารกสิกรไทยอยู่ระหว่างพัฒนาการโอนเงินระหว่างประเทศสำหรับลูกค้ารายย่อยให้สามารถตอบโจทย์บริการยุคดิจิทัลเพิ่มขึ้น
ในต้นปี 2561 จะเป็นครั้งแรกที่ลูกค้าธนาคารของไทย สามารถทำรายการโอนเงินไปต่างประเทศด้วยตัวเองผ่านแอปพลิเคชั่น K PLUS ทางโทรศัพท์มือถือไปยังผู้รับเงินปลายทางกว่า 40 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา อังกฤษ สิงคโปร์ ฮ่องกง ออสเตรเลีย และกลุ่มสหภาพยุโรป โดยผู้โอนสามารถกำหนดวันรับเงิน และรู้ค่าธรรมเนียมการโอนที่แน่นอนได้ทันทีเช่นเดียวกัน ซึ่งจะเป็นการเปิดมิติใหม่ของการโอนเงินรายย่อยไปต่างประเทศซึ่งมีประมาณ 8 ล้านรายการต่อปี คิดเป็นมูลค่าการโอนมากกว่า 230,000 ล้านบาท