โอกาสของคนตัวเล็ก
ติดต่อเรา
เกี่ยวกับเรา
ติดต่อโฆษณา
Truehits.net
หน้าแรก
อาชีพรวย
อาหาร
เครื่องดื่ม
แฟชั่น
บริการ
ชี้ช่องทำกิน
ทำเล
สินค้า
อุปกรณ์ทำกิน
หลักสูตรสอนรวย
รอบบ้านรอบเมือง
อื่นๆ
แฟรนไชส์
ข่าวสาร
ข่าวน่ารู้
คลิปอาชีพรวย
อาชีพรวย
อาหาร
เครื่องดื่ม
แฟชั่น
บริการ
ชี้ช่องทำกิน
ทำเล
สินค้า
อุปกรณ์ทำกิน
ไลฟ์สไตล์
รอบบ้านรอบเมือง
อื่นๆ
ข่าวน่ารู้
คลิปอาชีพรวย
แฟรนไชส์
ข่าวสาร
หน้าแรก
หลักสูตรสอนรวย
อื่นๆ
3 ตุลาคม 2560
by Cheechongruay
อื่นๆ
Talent Mobility Fair 2017 เวทีเชื่อมโยงบุคลากรงานวิจัย ภาคอุดมศึกษาและเอกชน ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมรองรับประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0
'
Facebook
Twitter
Line
นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยที่มาของโครงการ
Talent Mobility
เนื่องจากพบว่าบุคลากรวิจัยในประเทศไทย กว่าร้อยละ
70
ปฏิบัติงานอยู่ในมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐ ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ปัญหาการขาดแคลนนักวิจัยในภาคเอกชนอย่างเร่งด่วน และเป็นการส่งเสริมเชื่อมโยงระหว่างภาคอุดมศึกษาและภาคอุตสาหกรรม (
University-Industry Iinkages)
อย่างเป็นรูปธรรม จึงมีการดำเนินการ
“
โครงการส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม จากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในภาคเอกชน
”
หรือ
“Talent Mobility”
ขึ้น เพื่อสนับสนุนให้บุคลากร วิจัยของภาครัฐเข้าไปช่วยปฏิบัติงาน และพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของภาคเอกชน ซึ่งจะทำให้เกิดการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างองค์ความรู้ใหม่ ทำให้เกิดนวัตกรรมที่มีประโยชน์ต่อประชาชนและช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ทั้งนี้ โครงการ
Talent Mobility
ได้มีการสร้างระบบ
Clearing House
ขึ้นมาอำนวยความสะดวกในการเชื่อมโยงบุคลากรของภาครัฐให้ไปช่วยภาคเอกชนได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งปัจจุบันได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) กระทรวงศึกษาธิการ ในการส่งเสริมและสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยเข้าร่วมโครงการกว่า
21
มหาวิทยาลัย และมีหน่วยร่วมดำเนินการ
Talent Mobility
กว่า
20
ศูนย์กระจายทั่วประเทศ เพื่อทำหน้าที่เตรียมความพร้อมให้กับนักวิจัยภาครัฐก่อนเข้าร่วมงานกับภาคเอกชน ปัจจุบันโครงการ
Talent Mobility
ไม่เพียงแต่มีการร่วมดำเนินการกับทาง สกอ.เท่านั้น แต่ยังมีการดำเนินโครงการร่วมกับโปรแกรม
ITAP
ของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โครงการพัฒนานักวิจัยและงานวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม (พวอ.) ฝ่ายอุตสาหกรรม ของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) รวมถึงสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และหน่วยงานอื่นๆ รวม
8
แห่ง
จากการดำเนินงานที่ผ่านมา ปัจจุบันมีบุคลากรที่เคลื่อนย้ายไปปฏิบัติงานในภาคเอกชนภายใต้โครงการ
Talent Mobility
แล้ว จำนวน
993
คน แบ่งเป็น นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยจำนวน
466
คน นักวิจัยจากสถาบันวิจัยของรัฐจำนวน
83
คน และผู้ช่วยนักวิจัยจำนวน
280
คน (นักศึกษา ป.เอก
51
คน ป.โท
101
คน ป.ตรี
292
คน) มีบริษัทที่เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้นจำนวน
292
บริษัท จาก
366
โครงการ โดยเป็นบริษัท
SME
กว่า
90% (263
แห่ง) และจากโครงการทั้งหมดนี้ พบว่าอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมโครงการมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร คิดเป็น
37%
ของโครงการทั้งหมด และเป็นกิจกรรมการวิจัยและพัฒนามากถึง
61%
สำหรับ สิ่งที่ กระทรวงวิทย์ฯ จะขับเคลื่อนต่อไปในอนาคต คือการร่วมจัดทำยุทธศาสตร์การวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติที่ประกอบไปด้วย
4
ยุทธศาสตร์ ได้แก่
1.
การวิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์การสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ
2.
การวิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ประเด็นทางสังคม
3.
การวิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์การสร้างองค์ความรู้พื้นฐานของประเทศ และ
4.
การสร้างบุคลากร พัฒนาระบบนิเวศ และเครือข่ายการวิจัยและนวัตกรรมที่เข้มแข็ง
“
นอกจากนี้ กระทรวงวิทย์ฯ ยังเป็นหน่วยงานหลักที่จัดทำยุทธศาสตร์การวิจัยและนวัตกรรม
20
ปี ของประเทศ โดยครอบคลุมถึงยุทธศาสตร์การวิจัย การพัฒนากำลังคน ด้านงบประมาณ และด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่างๆ เพื่อปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรมของไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เราคิดว่าการปรับปรุงระบบวิจัยใหม่ในครั้งนี้ จะช่วยกำหนดทิศทางงานวิจัยของประเทศให้เป็นแบบ
Demand-driven
มากขึ้นและเป็นการเพิ่มการลงทุนในด้านการวิจัยของภาคเอกชน ทั้งยังสนับสนุนการทำงานแบบ
Public Private Partnership (PPP)
อีกด้วย
”
นายพรชัยฯ กล่าว
ด้าน ดร. กิติพงค์ พร้อมวงค์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) กล่าวว่า การจัดงาน
Talent Mobility Fair 2017
ในครั้งนี้ เพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมให้นักวิจัย และบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ วทน. จากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐ ไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับภาคเอกชน หรือที่รู้จักกันในชื่อ
“
นโยบาย
Talent Mobility”
ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่
18
กุมภาพันธ์
2558
โดยได้มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สวทน. ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อผลักดันการดำเนินการตามนโยบาย
Talent Mobility
ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินนโยบายนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการเตรียมความพร้อมด้านกำลังคนเพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ของประเทศ
20
ปี และรองรับการขับเคลื่อนประเทศสู่ไทยแลนด์
4.0
อีกทั้ง เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชน นักวิจัย มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยภาครัฐ ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ ได้รับทราบถึงกลไกการสนับสนุนการเคลื่อนย้ายบุคลากร วทน. จากสถาบันอุดมศึกษาและสถาบันวิจัยของภาครัฐไปปฏิบัติงานในภาคเอกชน ตามนโยบายของรัฐบาล รวมถึงนำเสนอตัวอย่างผลงานวิจัยที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ เพื่อแสดงศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาของบุคลากร วทน. ของภาครัฐ ตลอดจนสร้างเวทีให้ผู้ประกอบการได้พบปะหารือกับนักวิจัย มหาวิทยาลัย รวมถึงหน่วยงานวิจัยเพื่อจับคู่ความร่วมมือ และทำงานร่วมกัน
ดร.กิติพงค์ฯ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การจัดงานงาน
Talent Mobility Fair 2017
ในครั้งนี้ ถือเป็นเวทีสำคัญที่ให้ภาคเอกชนสามารถเข้ามาเชื่อมโยงหาบุคลากรด้านงานวิจัยที่เหมาะสมตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการหรือภาคเอกชน เพื่อร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีศักยภาพ และเป็นเวทีให้ภาคเอกชนสามารถเข้ามาเชื่อมโยง จับคู่หานักวิจัยที่เหมาะสม ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการหรือภาคเอกชน โดยภายในงานได้รับเกียรติจากผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ
“
บทบาทของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับการพัฒนากำลังคนสู่
Thailand 4.0”
นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและมากประสบการณ์ จากภาคเอกชน มาแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับประโยชน์ของระบบการสนับสนุนจากภาครัฐ และร่วมเสวนาในหัวข้อ
“
การเพิ่มศักยภาพด้านนวัตกรรมของภาคเอกชนด้วยระบบสนับสนุนจากภาครัฐ
”
พร้อมทั้ง กิจกรรมในภาคบ่าย ประกอบด้วยการเสวนาในประเด็นที่อยู่ในความสนใจของภาคเอกชน นักวิจัย มหาวิทยาลัย และหน่วยงานวิจัยภาครัฐ ใน
2
หัวข้อ ได้แก่
เรื่อง
“
รูปแบบการสนับสนุนและบริการวิจัยเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม
”
โดยวิทยากรจากหน่วยงานภาครัฐที่มีบริการในการสนับสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชน
เรื่อง
“Build up SMEs
เพิ่มขีดความสามารถด้านวิจัยและนวัตกรรม (
R&I)
รองรับ
Disruptive Change”
โดย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งในเวทีเสวนาประกอบด้วยวิทยากรผู้มีประสบการณ์ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน ที่จะมาให้มุมมองเกี่ยวกับทิศทางและแนวทางการพัฒนา
SMEs
ในประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังจัดให้มีการจัดแสดงนิทรรศการจากมหาวิทยาลัยที่เป็นศูนย์อำนวยความสะดวกและหน่วยงานร่วมดำเนินการ
Talent Mobility
กว่า
20
แห่ง ซึ่งภายในบูธนิทรรศการนอกจากมีการแสดงตัวอย่างผลงานที่พัฒนาร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยและภาคเอกชนแล้ว ยังมีกิจกรรมการจับคู่ความร่วมมือระหว่างสถานประกอบการ และนักวิจัยที่ต้องการไปปฏิบัติงานในภาคเอกชน โดยความร่วมมือจากสภาอุตสาหกรรมฯ ร่วมดำเนินการกับ สวทน. ตั้งแต่การประกาศรับโจทย์จากสถานประกอบการ นำส่งโจทย์ที่ได้รับไปยังมหาวิทยาลัยเครือข่าย รวมถึงประสานงานเพื่อนัดหมายให้นักวิจัยและสถานประกอบการได้มาพบปะ และพูดคุยกันเบื้องต้นก่อนที่จะพัฒนาความร่วมมือในรูปแบบต่างๆ ต่อไปในอนาคต และภายในงานยังมีโซนนิทรรศการของหน่วยงานภาครัฐที่ให้บริการและสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมของภาคเอกชนกว่า
12
แห่ง รวมถึงการแสดงผลงานของภาคเอกชนที่มีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มศักยภาพของสถานประกอบการ และเป็นสถานประกอบการที่ได้เข้าร่วมการฝึกอบรมหลักสูตร
Next Gen Innovator
ที่จัดโดย สวทน. ร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมฯ จำนวน
15
แห่ง
“
ขอเชิญชวนผู้เข้าร่วมงานจากภาคเอกชนสมัครเข้าร่วมกิจกรรม โดยสามารถฝากข้อมูลความต้องการนักวิจัยไว้ได้ที่บริเวณ
Matching Center
ในโซน
University-industry linkages
โดยทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจะเป็นผู้รวบรวมโจทย์ความต้องการของท่านแล้วเชื่อมโยงโจทย์ดังกล่าวไปที่ศูนย์อำนวยความสะดวก
Talent Mobility
ต่อไป และสำหรับนักวิจัยก็ขอเชิญชวนทุกท่านเข้ามากรอกข้อมูลความเชี่ยวชาญได้ที่
Matching Center
เพื่อแจ้งความประสงค์ในการทำงานร่วมกับภาคเอกชน ได้เช่นเดียวกัน
”
ดร.กิติพงค์ฯ กล่าว....//
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สถาบันวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โทรศัพท์
0-2345-1236-41
Tags:
อุตสาหกรรม
งานวิจัย
กระทรวงวิทยาศาสตร์
ไทยแลนด์4.0
'
Facebook
Twitter
Line
Trending
21 ฮวงจุ้ย การนอนให้ถูกทิศ ชีวิตร่ำรวย และประสบความสำเร็จ
แจกสูตร 10 เมนู “ไก่ทอด” ยอดฮิต ทำกินง่าย ทำขายกำไรรวย
แจก 9 สูตร “หมูทอด” สร้างอาชีพ ทำกินเองก็ได้ ทำขายกำไรรวย
ขี้ช่องรวย แจก 2 สูตรทำ “โรตี” ใช้งบหลักร้อย ทำอร่อยเตรียมเปิดร้านได้เลย
แจกสูตร “หมูแดดเดียว” ทำเงิน สร้างรายได้มีเงินเก็บเดือนละ 30,000 บาท