หลายคนเมื่อค้นพบตัวเองแล้วว่าอยากจะทำธุรกิจอะไร และมีเป้าหมายที่แน่ชัดแล้ว สิ่งที่ควรทำต่อไปคือการเขียนแผนธุรกิจเพื่อให้เห็นความจริงว่าความฝันกับการปฏิบัติแตกต่างกันอย่างไร และต้องปรับตัวอย่างไร เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้น นี่คือตัวอย่างการเขียนแผนธุรกิจแบบง่ายๆ
- ธุรกิจที่ต้องการทำ: ธุรกิจติดตั้งกล้องวงจรปิดภายในอาคาร
- รูปแบบธุรกิจ: B2B บริษัทจำกัด เน้นการขายและติดตั้งกล้องให้กับบริษัทหรือหน่วยงานที่มีอาคารสำนักงาน
- เหตุผล: มีความรู้ มีข้อมูล มีแหล่งกล้องที่ดี เชื่อถือได้ คิดว่างานติดกล้องภายในอาคารมีความจำเป็น
- เป้าหมาย: ต้องการทำเป็นรูปแบบบริษัทที่มียอดขายประมาณ 20 ล้าน ในช่วง 3 ปีแรก
- กำไร: ต้องการได้กำไรไม่ต่ำกว่า 30% จากยอดขาย (20ล้าน/30% = 6 ล้านบาท)
- จำนวนลูกค้า: เน้นกลุ่มองค์กรที่มีอาคารสำนักงานและซีเรียสเรื่องความปลอดภัย แบ่งตามกลุ่มธุรกิจ เช่น
ออกตลาดประเมินกลุ่มเป้าหมาย
- ธุรกิจ Community Mall: กรุงเทพมี 20 กว่าแห่ง
- ธุรกิจร้านอาหารและห้องอาหาร: กรุงเทพมีมากกว่า 500 แห่ง
- ธุรกิจสถานบันเทิงยามค่ำคืน: มีเป็นร้อยกว่าแห่ง
- ธุรกิจสถานศึกษา: มีเป็นร้อย
- ธุรกิจโรงพยาบาล: มีเป็นสิบ
จากเรื่องจำนวนลูกค้าจะทำให้คุณมีลีด (Lead) ที่เป็นไปได้และทำให้คุณประเมินจำนวนลูกค้าผู้มุ่งหวัง (Prospect) ได้คร่าวๆ จำนวนลูกค้าจะเป็นเม็ดเงินเข้าสู่กระเป๋าคุณได้อย่างแน่นอน
- ต้นทุนการผลิต: ค่ากล้องวงจรปิด ค่าติดตั้ง ค่าอะไหล่ ค่าแรง ค่ารถ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าออฟฟิศ ค่าจ้าง ฯลฯ
- ต้นทุนการตลาด: ค่าโฆษณาลงกูเกิ้ล ค่าทำโบรชัวร์ ค่าเอนเตอร์เทน ฯลฯ
สมมติว่าต้องการยอดขาย 20 ล้านบาท
ขายกล้องวงจรปิด 1 งาน มีการติดกล้อง 10 ตัว มูลค่าประมาณ 20,000 บาท พร้อมค่าแรง
คุณต้องหาลูกค้า = 20,000,000/20,000 = 1,000 ราย
ใน 1 ปี ถ้าคุณทำนัดได้วันละ 5 นัด ใน 1 เดือน ทำงานวันละ 20 วัน หัก เสาร์ อาทิตย์ คุณจะทำนัดได้ 1,200 นัด ต่อปี ถ้าทุกเจ้าที่เข้าไปขายซื้อคุณหมด คุณจะบรรลุ 20 ล้าน ภายใน 1 ปี แต่มันคงเป็นไปไม่ได้
สมมติว่าค่าเฉลี่ยความสำเร็จที่ปิดการขายได้เท่ากับ 30% นั่นคือ เข้า 10 ราย ขายได้ 3 ราย ใน 1 ปี คุณเข้าพบลูกค้า 1,000 ราย คุณจะขายได้ 300 ราย ซึ่งยอดยังไม่ถึง 20 ล้าน
คุณจะต้องหาลูกค้ามากถึง 3,300 ราย ถึงจะได้ลูกค้าประมาณ 1,000 ราย เพราะค่าเฉลี่ยที่ปิดได้คือ 30%
คุณคงเหนื่อยเกินไป มีสองทางเลือกคือ 1 เพิ่มคุณภาพการปิดการขายให้ดีขึ้น กับ 2 จ้างเซลล์เพิ่มขึ้น
เห็นภาพกันแล้วใช่มั้ยว่า ทุกอย่างมันเป็นไปได้ถ้าคุณเขียนตัวเลขกำกับ จากตัวอย่างจะเป็นการเขียนแผนธุรกิจอย่างง่าย โดยทุกข้อมีตัวเลขกำกับและวัดผล สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณมองเห็นความเป็นไปได้มากขึ้น
ขั้นตอนต่อมาคือการประเมินความเสี่ยงทางธุรกิจให้รอบคอบ ความเสี่ยงทางธุรกิจ เป็นสิ่งที่หลายๆ คนไม่ค่อยทำกัน คิดว่าง่าย มีเงินก็ทำได้ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะความเสี่ยงที่คุณไม่ระวังและประมาทอาจทำให้คุณเจ๊งทันที จงเขียนออกมาว่ามีปัจจัยใดบ้างที่ทำให้คุณเสียเปรียบได้ ตัวอย่างเช่น
- คู่แข่ง
- สภาพอากาศ
- ธุรกิจของลูกค้า
- การเมือง
- สงคราม
- กฎหมาย
- หุ้นส่วนของคุณ
- คนในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ ลูก เมีย
- สุขภาพของคุณและทีมงาน
- ภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุ ภัยพิบัติต่างๆ ฯลฯ
ความเสี่ยงบางอย่าง เช่น สภาพอากาศแบบน้ำท่วมนานๆ อาจทำให้ธุรกิจของคุณเจ๊งได้เลย จงคิดเสมอว่าถ้าเจอเหตุการณ์แย่ๆ เข้ามา คุณจะวางแผนรับมือมันได้อย่างไร เช่น ออมเงินสำรองทางธุรกิจ ทำธุรกิจเสริมหลายๆ ทาง ทำประกันวินาศภัย ใช้บริการที่ปรึกษาทางการเงินและธุรกิจ เป็นต้น
ขั้นตอนสุดท้ายควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จงอย่าหมดเงินไปกับเรื่องไร้สาระและไม่ทำให้คุณได้เงิน เช่น การใช้จ่ายสุุรุ่ยสุร่าย การทำโฆษณาผิดกลุ่ม การจ้างพนักงานเข้ามามากเกินไป การสร้างออฟฟิศสวยงามโดยที่ไม่สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการหาเงินเพิ่มได้ การลงทุนเกินตัว การบวกกำไรที่ไม่สัมพันธ์กับต้นทุนขาย เป็นต้น
หรือแม้แต่ต้นทุนด้านเวลา เช่น ใช้เวลามากเกินไป หมดเวลาไปกับเรื่องที่ไม่ก่อให้ได้เงิน เช่น งานเอกสาร งานภายใน งานหลังบ้าน เป็นต้น คุณมีเวลาทำงานวันละ 8 ชั่วโมง จงใช้มันให้มีประสิทธิภาพสูงสุด การโหมงานหนักมากไปก็ไม่ดี สุขภาพคุณอาจจะแย่ในภายหลังได้ หรือให้เวลากับธุรกิจน้อยไปก็ไม่ดี เพราะคุณจะตามไม่ทันคู่แข่ง ขาดกำลังสำคัญในการทำธุรกิจ เป็นต้น
นี่เป็นเพียงเข็มทิศพื้นฐานที่จะช่วยให้คุณสามารถประเมินว่าคุณจะเดินไปตามฝันของคุณได้อย่างไม่เพ้อเจ้อ ต้องผ่านปัจจัยและอุปสรรคอะไรบ้าง...หวังว่าคุณจะสำเร็จกับทุกความฝันทางธุรกิจของคุณ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก sales100million.com