กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแนะเสาวรสสีทองสร้างรายได้เพิ่มให้กับชาวเกษตรกรในกว่างชี ประเทศจีน ถือเป็นโอกาสดีสำหรับชาวเกษตรกรไทยพัฒนาเสาวรสสายพันธ์สีทองสร้างรายได้ สร้างตลาดการส่งออก
นายสกรรจ์ แสนโสภา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครหนานหนิง เผย เสาวรสสีทองเป็นหนึ่งสายพันธุ์ของเสาวรสสีเหลือง ชาวจีนตั้งชื่อว่า เสาวรสทองคำ ซึ่งมีความหอมและรสชาติหวานเข้มข้นกว่าเสาวรสสีม่วง เนื่องจากเสาวรสสีทองมีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ที่เด่นชัดและมีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเป็นอย่างมากเนื่องจากรายได้ทางเศรษฐกิจ การเพาะปลูกง่าย ส่งผลให้เกษตรกรหันมาปลูกเสาวรสสีทองมากขึ้น
เสาวรสสีทองมีความแตกต่างกับเสาวรสทั่วไป เสารสสีทองที่สุกแล้วผิวจะเป็นสีเหลือง ไม่เหมือนสีม่วง ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่คนจีนเรียกเป็น“เสาวรสทองคำ” เปลือกเสาวรสสีทองบางกว่าพันธุ์สีม่วงและดูสวยงามกว่า ความหวานสูงกว่าเสาวรสสีม่วง 5 เท่าตัว เสาวรสสีทองอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุรวมอยู่หลายชนิดที่มีคุณสมบัติด้านการบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส บรรเทาความเหนื่อยล้า ส่งเสริมการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย จึงได้รับความนิยมจากตลาด
ปัจจุบันนี้ พื้นที่ปลูกใหญ่ของเสาวรสสีทองอยู่ที่ เขตกว่างซี มณฑลกวางตุ้ง และฟูเจี้ยน โดยเขตกว่างซีเป็นมณฑลที่ปลูกเสาวรสมากที่สุดของจีน และเป็นทางเลือกอันดับแรกที่ชาวกว่างซีนิยม โดยเสาวรสสีม่วง และเสาวรสสีทอง หากเปรียบเทียบกัน เสาวรสสีทองจะได้รับการยอมรับจากตลาดและสร้างกำไรดีกว่า เนื่องจากเสาวรสสีทองมีต้น/ก้านใหญ่ โตเร็ว มีภูมิต้านทานโรคและแมลง การผสมเกสรโดยดอกไม้ของต้นตัวเอง อีกทั้งยังให้ผลผลิตสูง หลังจากการเพาะปลูก 4 เดือนจะเริ่มออกผล และสามารถเก็บผล 8 ครั้งต่อปี
ในฐานะที่เป็นสายพันธุ์ใหญ่ของเสาวรส ในด้านการตลาดของเสาวรสสีทองมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งการผลิตและการจัดจำหน่ายประสบผลเป็นอย่างดี สำหรับรูปแบบการขายปลีกหลักๆมี 2 ช่องทางได้แก่ ออนไลน์ และ ออฟไลน์
“จากข้อมูลข้างต้น เห็นได้ว่า เสาวรสสีทองมีแนวโน้มทางการตลาดที่ดีมาก หากเกษตรกรปลูกเสาวรสสีทอง 1 หมู่ (0.42ไร่) สามารถเก็บผลผลิตต่อหมู่มากกว่า 500 กิโลกรัม หลังจากหักค่าต้นทุนแล้วยังมีกำไรพอสมควร ขณะที่ภาคเกษตรกรยังไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องช่องทางจัดจำหน่าย จึงกล่าวได้ว่าการเพาะปลูกเสาวรสสีทองเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้เพิ่มให้กับเกษตรกรอีกช่องทางหนึ่ง” นายสกรรจ์ กล่าว
ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้ชี้แนะให้เกษตรกรไทยรายย่อยพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพเทียบเท่ากับสากล เพิ่มรายได้ขยายการส่งออกสู่ตลาดต่างแดน
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์www.ditp.go.thหรือ โทรสายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169