สรรพสามิตปรับปรับเพิ่มอัตราภาษียาเส้นเป็น 0.1 บาท/กรัม และขยายเวลาการใช้อัตราภาษีบุหรีี่่ใหม่ที่ 20% และ 40% ออกไปอีก 1 ปี
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต กล่าวถึงมติ ครม. วันที่ 7 พ.ค. ที่ผ่านมา ยังให้ความเห็นชอบกับการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตยาเส้น และอัตราภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่หลังเทียงคืนที่ผ่านมา โดยให้ปรับเพิ่มภาษีตามปริมาณเป็น 0.1 บาท/กรัม จากเดิมที่เคยจัดเก็บ 0.005 บาท/กรัม เพื่อลดช่องว่างของราคาขายปลีกบุหรี่ซิกาแรตและราคายาเส้นลงให้มีความใกล้เคียงกันมากขึ้นราว 17 เท่า จากเดิมที่ต่างกันกว่า 300 เท่า
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังได้มีมติให้กรมสรรพสามิตขยายเวลาการจัดเก็บภาษียาสูบบุหรี่ที่มีราคาขายปลีกแนะนำที่ไม่เกินซองละ 60 บาท โดยให้เสียภาษีที่อัตรา 20% และภาษีบุหรี่ตามราคาปลีกแนะนำที่เกินซองละ 60 บาท ในอัตรา 40% ออกไปอีก 1 ปี จากเดิมที่เคยกำหนดให้กรมสรรพาสามิตทำการจัดเก็บภาษีบุหรี่ทั้งที่มีราคาขายปลีกแนะนำซองละ 60 บาท และที่มีราคาขายปลีกแนะนำซึ่งเกิน 60 บาทในอัตราเดียวคือ 40% ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 62 เป็นต้นไป
สำหรับการขยายเวลาการจัดเก็บภาษีบุหรี่ออกไปอีก 1 ปีนั้นก็เนื่องจาก หลัง ครม. เคยมีมติให้ปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตยาสูบเมื่อเดือน ต.ค. ปีก่อน ได้ส่งผลให้ราคาขายปลีกบุหรี่ซิกาแรตสูงขึ้น จนส่งผลกระทบให้การสูบบุหรี่มวนปรับตัวลดลง โดยผู้บริโภคบุหรี่หันมานิยมสูบยาเส้นเพิ่มขึ้นอย่าวต่อเนื่องจนทำให้รายได้การจัดเก็บภาษียาเส้นเพิ่มขึ้นราว 2 เท่าตัวคือเพิ่มขึ้นจาก 12 ล้านกิโลกรัมมาเป็น 26 ล้านกิโลกรัม
ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและผู้นำเข้า ตลอดจนเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบ และยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของตัวผู้บริโภค เนื่องจากยาเส้นดังกล่าวถูกนำไปทำเป็นบุหรี่มวนเองโดยไม่มีก้นกรอง ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภครับสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเพิ่มมากขึ้น รวมถึงจำนวนคดีของบุหรี่เถื่อนที่เพิ่งสูงขึ้นจากเดิมราว 30% ด้วย
ทั้งนี้ หลัง ครม. ได้มีมติดังกล่าวแล้วกรมสรรพสามิตคาดว่าในปีงบประมาณ 62 จะมีรายได้จากภาษีบุหรี่ราว 6 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่เคยคาดการณ์หากจัดเก็บในอัตราภาษีตามโครงสร้างของกฎหมายใหม่แล้วจะทำให้มีรายได้จากภาษีบุหรี่เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 6-7 พันล้านบาท/ปีงบประมาณ