คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ภาคอุตสาหกรรมไทยยังขาดระบบการบริหารความเสี่ยงด้านภัยพิบัติที่มากพอ ซึ่งส่งผลให้แต่ละครั้งที่เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ มักมีผลกระทบถึงความต่อเนื่องในการดำเนินงาน เช่น การผลิต ผลกระทบต่อความต่อความเชื่อมั่น พร้อมเผยในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 ภาคอุตสาหกรรมควรหันมาให้ความสนใจและวางแผนในเรื่องความเสี่ยงทางอุตสาหกรรมจากภัยพิบัติ 3 ประเภท ได้แก่ น้ำท่วมฉับพลัน ความแห้งแล้ง และฝุ่นจิ๋ว PM 2.5
อย่างไรก็ตาม เพื่อลดปัญหาความเสี่ยงจากภัยพิบัติจึงได้ร่วมมือกับ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น และสถาบันเทคโนโลยีแห่งนาโงยะ นำแนวคิด Area-Business Continuity Management (Area-BCM) หรือแนวคิดการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจระดับพื้นที่ของประเทศญี่ปุ่น มาพัฒนาเป็นระบบรับมือสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมและนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย ซึ่งได้เริ่มทดลองในสวนอุตสาหกรรมโรจนะเป็นที่แรก และจะมีการเปิดตัวระบบการทำงานอย่างเป็นทางการในงาน Maintenance & Resilience ASIA 2019 หรือ MRA 2019 ซึ่งจัดโดยสมาคมบริหารจัดการประเทศญี่ปุ่น (JMA) วันที่ 2 – 4 ตุลาคมนี้
ดร.ณัฏฐ์ ลีละวัฒน์ หัวหน้ากลุ่มวิจัยระบบสารสนเทศการจัดการภัยพิบัติและความเสี่ยง และอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาครัฐและโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทยได้มีการนำเอาเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการผลิตเข้ามาใช้ในระบบอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น แต่จากข้อมูลกลับพบว่าโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งยังไม่มีระบบบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติที่มากพอ ส่งผลให้ทุกครั้งที่เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลัน หรือภัยพิบัติในด้านอื่น ๆ มักจะเกิดผลกระทบต่อระบบการผลิตทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่องและหลายธุรกิจจำเป็นต้องหยุดชะงัก ทั้งยังส่งผลต่อห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain) ของประเทศ กระทบความเชื่อมั่นในการลงทุนและลดโอกาสทางธุรกิจ ด้วยเหตุนี้ โรงงานอุตสาหกรรมทุกขนาดรวมทั้งกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี จึงควรมีการสรรหาเทคโนโลยีเพื่อรองรับหรือป้องกันผลกระทบดังกล่าว รวมถึงมีแผนในการบริหารความเสี่ยงเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินงาน (Business Continuity Management) ให้มากขึ้น ซึ่งยังเป็นผลดีในด้านการลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรักษาที่ในภาพรวมมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 นี้ ภาคอุตสาหกรรมไทยควรหันมาให้ความสนใจและวางแผนในเรื่องความเสี่ยงทางอุตสาหกรรมโดยเฉพาะจากภัยพิบัติ 3 ประเภทได้แก่
1.ภัยแล้ง โดยเฉพาะในปีนี้ด้วยเหตุจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตเนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมเกือบทุกประเภทจำเป็นจะต้องใช้น้ำเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการผลิต โดยคาดว่าพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบมากจะเป็นพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอาจมีผลกระทบต่อพื้นที่ภาคตะวันออก เช่น เขตอีอีซีคือ ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา
2.น้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งอาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมในระดับที่รุนแรง แต่อาจมีผลในด้านความล่าช้าและความต่อเนื่องทั้งในการกระจายสินค้า การผลิต รวมถึงผลกระทบที่มีต่อเครื่องจักรและความปลอดภัย ส่วนปัญหาอุทกภัยคาดว่าปีนี้จะไม่อยู่ในระดับวิกฤติ เนื่องด้วยข้อมูลการระบายของน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ และข้อมูลสภาพภูมิอากาศที่ไม่น่ากังวลมากนัก
3.ปัญหาฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 โดยเฉพาะในช่วงปลายปี (พฤศจิกายน – ธันวาคม) จนยาวไปถึงต้นปีถัดไปที่อาจจะมีความรุนแรง โดยโรงงานอุตสาหกรรมควรมีแผนควบคุมมลพิษที่เกิดจากกระบวนการผลิต รวมทั้งการจัดการหากสภาวะดังกล่าวอยู่ในขั้นวิกฤติ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของบุคลากรหรือผู้ใช้แรงงาน
ล่าสุดคณะวิศวกรรมศาสตร์ ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทั้ง วิทยาลัยประชากรศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี หลักสูตรสหสาขาวิชาการจัดการความเสี่ยง และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น หรือไจก้า(JICA) และสถาบันเทคโนโลยีแห่งนาโงยะ (Nagoya Institute of Technology) ประเทศญี่ปุ่น นำแนวคิด Area-Business Continuity Management (Area-BCM) หรือแนวคิดการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจระดับพื้นที่ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการคำนึงถึงทรัพยากรและหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐและเอกชนมาปรับใช้กับภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยสำหรับรับมือผลกระทบด้านอุทกภัย
โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ร่วมวิจัยและพัฒนาแบบจำลองการบริหารจัดการน้ำร่วมกับศูนย์อุทกภัยและจัดการความเสี่ยงระดับประเทศ (ICHARM) ของประเทศญี่ปุ่นและหน่วยงานภาครัฐของไทย เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย, กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น พร้อมนำข้อมูลมาวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านอุทกภัย ผลกระทบทางธุรกิจ ความเสี่ยงด้านสังคม และจัดทำแบบจำลองน้ำท่วมที่มีความแม่นยำ และแชร์ข้อมูลให้กับองค์กรและชุมชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการยกระดับความปลอดภัยในภาคอุตสาหกรรมและชุมชน และทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินการไปได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ได้เริ่มศึกษาและวางแผนการพัฒนาในพื้นที่ศึกษาสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายหนักจากมหาอุทกภัยในปีพ.ศ. 2554 และคาดว่าการพัฒนาระบบจะเสร็จสมบูรณ์และพร้อมใช้ในนิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ อย่างเป็นทางการประมาณปี 2565 เพื่อให้เป็นต้นแบบระบบสำหรับใช้ในการต่อยอดการพัฒนาสำหรับรับมือภัยแล้งหรือปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และภัยพิบัติในด้านอื่น ๆ ต่อไป
อย่างไรก็ดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะนำโมเดล Area - BCM ไปร่วมจัดแสดงในงาน "Maintenance & Resilience ASIA 2019" (MRA 2019) ซึ่งจัดโดยสมาคมบริหารจัดการประเทศญี่ปุ่น (JMA) ร่วมกับบริษัท เอ็กซโปซิส โดยได้ร่วมมือกับภาครัฐบาลไทย เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยกิจกรรมดังกล่าวเป็นนิทรรศการแสดงเทคโนโลยี นวัตกรรม เกี่ยวกับการอุตสาหกรรม ระบบโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำซึ่งจัดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นมาแล้วเกือบ 60 ปี และจะถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 2-4 ตุลาคม 2562 โดยนอกจาก Area – BCM แล้ว ยังมีภาครัฐ – เอกชนนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาร่วมจัดแสดง ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเป็นอีกงานที่ผลักดันให้ภาคการผลิต อุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐานมีศักยภาพที่ดีกว่าเดิม
ด้าน นายทาดาชิ โยชิดะ ประธานสมาคมบริหารจัดการประเทศญี่ปุ่น หรือ JMA กล่าวว่า JMA ได้จัดงาน Maintenance & Resilience Tokyo ในประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาเกือบ 60 ปีแล้ว จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของอุปกรณ์ เทคโนโลยี และโซลูชั่นในการบำรุงรักษาโรงงานและโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย และนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่ชัดเจนของรัฐบาลไทย จึงเป็นตัวผลักดันให้ JMA ริเริ่มจัดงาน Maintenance & Resilience ASIA 2019 ณ ไบเทค บางนา ระหว่างวันที่ 2 – 4 ตุลาคมขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับอุตสาหกรรมประเทศญี่ปุ่น คำว่า Maintenance ไม่ใช่การซ่อมเพื่อให้ใช้งานได้ แต่คือการนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต งานดังกล่าวจึงมุ่งเป้าไปที่การนำเสนอนวัตกรรม เทคโนโลยี ระบบ AI , IoT , Sensor Robotics และโซลูชั่นล้ำสมัยสำหรับการบริหารและวางแผนงานบำรุงรักษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งเป็นกุญแจสู่การผลิตและโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะสำหรับประเทศไทยและอาเซียน นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงสินค้า การประชุมวิชาการ การสร้างเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจอันจะนำมาซึ่งคุณประโยชน์มหาศาลแก่อุตสาหกรรมและคมนาคมของประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม กิจกรรมดังกล่าว ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการปรับตัวเพื่อมุ่งสู่การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรอันชาญฉลาด ซึ่งจะช่วยในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ตลอดจนเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนอย่างเวียดนาม เมียนมา มาเลเซีย กัมพูชา ซึ่งเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของภูมิภาคนี้อีกด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท เอ็กซโปซิส จำกัด โทรศัพท์ 02 – 5590856 อีเมล์ [email protected]