กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ปลื้ม เอฟทีเอดันส่งออกยางพาราไทยครองแชมป์ในตลาดโลก เผย เอฟทีเออาเซียน-ฮ่องกง และ ไทย-ออสเตรเลีย เป็นกุญแจสำคัญให้ยางพาราไทยเติบโตแม้เกิดวิกฤตสงครามการค้า พร้อมเดินหน้าผลักดันเปิดตลาดต่อเนื่อง เพิ่มศักยภาพการแข่งขันอุตสาหกรรมยางพาราไทย
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ติดตามสถานการณ์การส่งออกยางพาราของไทย พบว่าปัจจุบันไทยครองแชมป์ประเทศผู้ส่งออกยางพาราอันดับหนึ่งของโลก โดยในปี 2561 ไทยส่งออกยางพาราสู่ตลาดโลกมูลค่ากว่า 4,602 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.82 ของการส่งออกสินค้าทั้งหมดของไทย
มีจีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับหนึ่งที่ไทยส่งออกยางพาราไปถึง 1,960 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 43 ของการส่งออกยางพาราทั้งหมด ซึ่งความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ไทยลงนามแล้ว 13 ฉบับ กับ 18 ประเทศ มีส่วนสำคัญในการทลายกำแพงภาษีนำเข้ายางพาราในประเทศคู่ค้า สร้างแต้มต่อทางการค้าช่วยผลักดันการส่งออกสินค้ายางพาราไทยเติบโตขึ้น
โดยปัจจุบัน 16 ประเทศคู่เอฟทีเอ คือ อาเซียน 9 ประเทศ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู และฮ่องกง ได้ยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าสินค้ายางพาราทุกรายการให้ไทยแล้ว มีเพียงจีนและอินเดีย ที่ยังคงเก็บภาษีนำเข้ายางพาราจากไทยบางรายการ เช่น อินเดีย เก็บภาษีนำเข้าน้ำยางธรรมชาติ ร้อยละ 70 ยางแผ่นรมควัน ร้อยละ 20 ขณะที่ จีน เก็บภาษียางพารา ร้อยละ 20
และเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าการส่งออกปี 2561 กับปี 2535 ซึ่งเป็นปีก่อนที่ไทยจะมีความตกลงการค้าเสรีฉบับแรกกับอาเซียน พบว่าไทยส่งออกยางพาราไปตลาดโลกได้ 1,144 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 302 สอดคล้องกับสถิติปี 2561 ที่สินค้ายางพาราเป็นหนึ่งในสินค้าที่ผู้ประกอบการไทยขอใช้สิทธิประโยชน์จากเอฟทีเอในการส่งออกมากเป็นอันดับต้น
นางอรมน เพิ่มเติมว่า แม้ว่าปัจจุบันการส่งออกยางพาราของไทยประสบปัญหาจากการตอบโต้ทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจ ที่ส่งผลให้ความต้องการยางพาราเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น รถยนต์ ยางรถยนต์ และชิ้นส่วนรถยนต์ ลดลง แต่เอฟทีเออาเซียน-ฮ่องกง และ ไทย-ออสเตรเลีย เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้การส่งออกยางพาราของไทยในทั้ง 2 ตลาดในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2562 (ม.ค. – ก.ค.) ขยายตัว โดย ฮ่องกง ขยายตัวร้อยละ 57 ขณะที่ออสเตรเลีย ขยายตัวร้อยละ 22 ซึ่งกรมฯ คาดว่า ในระยะยาวเอฟทีเอทั้งในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะช่วยให้ไทยสามารถครองความเป็นผู้นำการส่งออกยางพาราได้
“เพื่อรักษาสถานะการเป็นอันดับหนึ่งในการส่งออกสินค้ายางพาราของไทยอย่างยั่งยืน กรมฯ พร้อมเดินหน้าผลักดันให้ประเทศคู่ค้าเปิดตลาดสินค้ายางพาราเพิ่มเติมให้ไทยภายใต้การเจรจาเอฟทีเอกับประเทศคู่ค้าต่างๆ เช่น จีน อินเดีย ตุรกี ศรีลังกา ปากีสถาน และสมาชิกอาร์เซ็ป เป็นต้น ขณะเดียวกันขอให้ผู้ประกอบการไทยมุ่งเน้นรักษามาตรฐานการผลิตควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดด้วย” นางอรมน กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ประเทศคู่เจรจาเอฟทีเอลดหรือยกเลิกให้ไทย สามารถตรวจสอบข้อมูลอัตราภาษีศุลกากร กฎระเบียบทางการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับประเทศคู่เอฟทีเอ หรือข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับความตกลงการค้าเสรีได้ที่เว็บไซต์กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ http://ftacenter.dtn.go.th หรือศูนย์ FTA Center ชั้น 3 กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ หรือหมายเลข 0 2507 7555