เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า หนึ่งในธุรกิจที่คาดว่าจะมาแรงในปี 2020 คือ “สตาร์ทอัพ” โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดการทำงานที่แตกต่างจากคนรุ่นเดิมๆ ตามกระแสยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะยุคนี้ที่มีความเจริญในด้านเทคโนโลยี พร้อมกับการก้าวเข้าสู่โลกยุค 5G ที่ไหนอนาคตมีแนวโน้มว่า ธุรกิจเอสเอ็มอีจะได้รับอานิสงค์นี้โดยตรง หากรู้จักการนำความพร้อมในเรื่องต่างๆ เหล่านี้เข้ามาประยุกต์ใช้
และเมื่อเอ่ยถึงโหมดกลุ่มนักธุรกิจหน้าใหม่ที่เรียกกันว่า “สตาร์ทอัพ” ที่มีไฟแรง แนวคิดสร้างสรรค์ รู้จักนำมาผสมผสานกับนวัตกรรมใหม่ๆ สำหรับหน้าใหม่ในวงการสตาร์ทอัพจะต้องเตรียมตัวและต้องเรียนรู้อะไรบ้าง เราไปดูคำตอบนี้กันค่ะ
ก่อนอื่นเลยเราควรรู้ว่าธุรกิจของคุณเองเป็นสตาร์ทอัพประเภทใด ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว จะแบ่งออกเป็น 8 ประเภทด้วยกัน ดังนี้
1.FinTech ฟินเทค
ย่อมาจาก Financial Technology คือสตาร์ทอัพด้านการเงิน การธนาคาร และการลงทุนเป็นการนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการทำธุรกรรมทางการเงิน
2.FoodTech ฟู้ดเทค
ย่อมาจาก Food Technology เป็นการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาอุตสาหกรรมอาหาร เช่น เปิดประสบการณ์รับประทานอาหารด้วยระบบ AR หรือ VR
3.EdTech เอ็ดเทค ย่อมาจาก Education Technology คือการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการพัฒนาการเรียนการสอน ผ่านแพล็ตฟอร์ม หรือมีการสร้างเว็บบอร์ดถามตอบให้ผู้ปกครอง
4.InsurTech อินชัวเทค ย่อมาจาก Insurance Technology เป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจประกัน
5.HealthTech เฮลท์เทค ย่อมาจาก Health Technology เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับวงการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีต่างๆ หรือการรับคำปรึกษาจากแพทย์ โดยไม่ต้องมาโรงพยาบาล
6.PropTech พร็อพเทค ย่อมาจาก Property Technology เป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้อยู่อาศัยในโครงการบ้านด้วยนวัตกรรมสร้างสรรค์ใหม่ๆ
7.AgriTech อะกริเทค หรือแอคเทค ย่อมจากจาก Agriculture Technology การปรับให้ภาคเกษตรใช้เทคโนโลยีในการผลิต เพาะปลูก และดูแลพืช
8.TravelTech ทราเวลเทค ย่อมาจาก Travel Technology พัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวด้วยเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นการจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก จองทริปหรู
เมื่อที่ประเภทธุรกิจสตาร์ทอัพของตัวเราแล้วว่าอยู่ในกลุ่มไหน ทีนี้เรามาดูวิธีการพัฒนาตัวคุณเองว่าจะทำอย่างไร และสามารถนำพาธุรกิจของคุณไปสู่ทิศทางใด ดังต่อไปนี้
1.มีความเป็นครีเอทีฟ
คุณต้องมีไอเดียหรือมีความคิดที่แตกต่างพร้อมทั้งความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวคุณให้ได้ การไม่หยุดคิดและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คือหนทางที่จะนำไปสู่ประตูแห่งความสำเร็จ และเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของคุณเดินต่อไปได้
2.ไม่หวั่นแม้งานหนักมาก
คุณต้องมีความพร้อมที่จะทำงานหนัก เพราะการเป็นสตาร์ทอัพแทบจะไม่มีเวลาหรือวันหยุดพักผ่อนเลย เพื่อให้ได้ผลงานมานำเสนอลูกค้าเป็นรายแรก อีกทั้งต้องเปิดรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่มักมากับเทคโนโลยีตลอดเวลา
3.สร้างชื่อเสียง ประจักษ์สายตาคนทั่วไป
การทำธุรกิจจะไม่มีใครรู้จักตัวคุณเลย หากคุณไม่สร้างจุดเด่นหรือสร้างการรับรู้แก่คนทั่วไป เพราะการทำธุรกิจไม่ว่าจะเป็นประเภทไหน ชื่อเสียงและการยอมรับสำคัญมาก ดังนั้น การทำให้บริษัทของตัวคุณเองเป็นที่รู้จัก เช่น การเข้าประกวดตามเวทีเฟ้นหาสตาร์ทอัพรายใหม่ๆ รวมไปถึงเวทีเสวนาด้าน Tech Talk จะช่วยให้คนรู้จักตัวคุณมากขึ้น
4.ใช้สื่อโซเชียลให้เกิดประโยชน์
แน่นอนว่า ปัจจุบันไม่มีใครเลยที่จะไม่จับมือถือหรือสมาร์ทโฟน ตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน เมื่อเรากำลังอยู่ในโลกยุคโซเชียลก็ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้สื่อโซเชียลนี้ให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจของตัวคุณเอง จงใช้สื่อโซเชียลให้เกิดประโยชน์ที่สุด เพราะหลายแพลตฟอร์มเปิดให้ใช้ได้ฟรี
5.บริหารความเป็นหุ้นส่วน และยังรักษาตำแหน่งงานประจำไว้
เพราะการทำธุรกิจไม่สามารถสำเร็จได้จากคนๆ เดียว ดังนั้น จึงต้องอาศัยหุ้นส่วนทางธุรกิจ และพาร์ทเนอร์ธุรกิจหลายภาคส่วน บางคนมีหลายธุรกิจที่ต้องบริหารไปพร้อมๆ กัน ฉะนั้นคุณต้องให้น้ำหนักธุรกิจต่างๆ อย่างเหมาะสมไม่ขาดตกบกพร่องและไม่ละเลยหน้าที่ความเป็นหุ้นส่วน
และทั้งหมดนี้คือวิธีการและแนวทางที่จะทำให้นักธุรกิจหน้าใหม่อย่างคุณสามารถดำเนินธุรกิจไปได้อย่างสบายใจ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ ชี้ช่องรวย อยากจะฝากและให้ความสำคัญอย่างมากก็คือ การไม่หยุดเรียนควบคู่ไปกับการพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ การติดตามข่าวสารธุรกิจโลกมีประโยชน์อย่างมากที่จะทำให้คุณรู้ทิศทางและทำให้คุณวางแผนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชี้ช่องรวย เอาใจช่วยนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : Krungsri Consumer