โอกาสของคนตัวเล็ก

  • ติดต่อเรา
  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อโฆษณา
Responsive image

ส่องเศรษฐกิจปี 63 ชี้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำเศรษฐกิจไทยโตต่ำ แต่ยังไม่ถดถอย จากแรงส่งการลงทุนภาครัฐ-เอกชน

เศรษฐกิจไทยทั้งปี 2562 โตต่ำกว่าที่ประเมิน 2.8% โจทย์เศรษฐกิจปีหน้ายังต้องพึ่งนโยบายการเงินการคลังแบบผ่อนคลาย

โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ออกมาระบุว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/2562 ยังให้ภาพที่ชะลอตัว ตามผลกระทบจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกที่ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ประเด็นค่าเงินบาทที่ลดทอนขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาของผู้ส่งออก ท่ามกลางการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนที่ยังโตในกรอบจำกัด ในขณะที่การใช้จ่ายครัวเรือนยังสามารถเป็นตัวหนุนเศรษฐกิจไทยได้อย่างต่อเนื่อง โดยทิศทางเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 จะยังคงมีภาพที่ใกล้เคียงกับไตรมาสที่ 3 แต่มีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ช่วยประคองภาพรวมการใช้จ่ายครัวเรือน ตลอดจนความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 4 น่าจะโตดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ 3 แต่คงไม่เพียงพอที่จะทำให้ภาพรวมทั้งปี 2562 ขยายตัวได้ตามที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินไว้ที่ร้อยละ 2.8 ในขณะที่ยังมองกรอบล่างไม่ต่ำกว่าร้อยละ 2.5

ดังนั้น ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ยังคงต้องเผชิญความไม่แน่นอนจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกทั้งเรื่องสงครามการค้า และ Brexit ที่ยังไม่มีจุดลงตัว ประกอบกับทิศทางการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจหลักของโลก ค่าเงินบาทที่ยังคงมีทิศทางแข็งค่า ทำให้ภาพการฟื้นตัวของส่งออกไทยในปีหน้ายังเป็นความท้าทายและต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ดังนั้น นโยบายการเงินการคลังแบบผ่อนคลายยังคงมีความจำเป็นในการดูแลโจทย์เศรษฐกิจไทยในปีหน้าให้ประคองการขยายตัวได้ในกรอบการประเมินของศูนย์วิจัยกรสิกรไทยในเบื้องต้นที่ร้อยละ 2.5-3.0

ขณะที่ “SCB Wealth Holistic Experts” ชี้เศรษฐกิจโลกปีหนูทองเติบโตได้ในระดับต่ำแต่ยังไม่ถดถอย เศรษฐกิจไทยได้แรงหนุนจากการลงทุนภาครัฐ-เอกชน

โดยเผยมุมมองภาพรวมเศรษฐกิจโลกปี 2020 ในยุค New Normal ยังคงเติบโตได้แม้อัตราการเติบโตต่ำ แต่ยังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนของเศรษฐกิจถดถอย และผลจากการใช้นโยบายการเงินการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศทั่วโลก และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเริ่มผ่อนคลาย จะส่งสัญญาณเชิงบวกให้กับตลาดการเงิน ดังนั้นควรหาจังหวะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้น โดยเลือกลงทุนในตลาดหุ้น หรืออุตสาหกรรมที่ราคาปรับลดลงมามากจนต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน หลีกเลี่ยงลงทุนในตราสารหนี้เอกชน High Yield และเน้นลงทุนในตราสารหนี้เอกชน Investment Grade สำหรับสินทรัพย์ทางเลือก แนะนำ ตลาดน้ำมัน Private Equity และรอตลาด REITs ปรับฐานแล้วค่อยเข้าลงทุน หลีกเลี่ยงการลงทุนในทองคำ

ด้านเศรษฐกิจไทยในปีหน้าคาดว่าการลงทุนของรัฐบาลและเอกชน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย แม้จะยังคงต้องเผชิญความเสี่ยงด้านการส่งออก ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นเกิดใหม่ กลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคและการลงทุนในประเทศ เช่น กลุ่มค้าปลีก การแพทย์ นิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น และทยอยเพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่มวัฏจักร เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี นอกจากนี้ด้านกฎหมายที่น่าจับตามองและต้องเตรียมพร้อมรับมือ คือ กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2563

ทางด้าน สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ได้ฉายภาพแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2563 มีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่คงไม่ถึงขั้นถดถอย ปัจจัยหลักมาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าเศรษฐกิจโลกปี 2563 จะเติบโตเพียง 3% หรือเติบโตต่ำสุดตั้งแต่หลังวิกฤตการเงินโลก
อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อว่าสุดท้ายการค้าโลกจะไม่ทรุดหนักกว่านี้ ถึงจุดหนึ่ง คนจะปรับตัวได้ บนข้อแม้ว่าข้อตกลงภาษีระหว่างทั้ง 2 ประเทศต้องชัดเจน ซึ่งน่าจะเห็นความชัดเจนช่วงไตรมาส 1/2563 หรือเป็นช่วงก่อนการเลือกตั้งขั้นต้นของสหรัฐ

สำหรับทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะเติบโตได้ที่ 2.5-3% คล้ายคลึงปีนี้ที่คาดว่าจะโต 2.8% ปีหน้าจะยังไม่ถึงขั้นเข้าสู่ภาวะถดถอยเพียงแต่โตช้าลง ทั้งนี้ ในปี 2563 รายได้หลักที่จะมาช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยยังคงมาจากท่องเที่ยวและส่งออก เนื่องจากการท่องเที่ยวของไทยที่กระจายตัวมากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่แม้ว่ากลุ่มทัวร์จีนลดลง แต่ที่มาท่องเที่ยวด้วยตัวเอง (FIT) ซึ่งมีกำลังซื้อสูง สัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 60%
ขณะที่การส่งออกจากคาดว่าสงครามการค้าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 1/63 ส่งผลให้นักลงทุนสามารถกลับมาค้าขายกันได้อีกครั้ง จึงคาดว่าการส่งออกที่ตลาดคาดว่าจะทรุดตัวลง อาจจะไม่ได้ติดลบอย่างที่คาด ส่วนหนึ่งเพราะมีการย้ายฐานการลงทุนมาจากประเทศจีน เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้าด้วย