ในการทำงานไม่ว่าจะในองค์กรขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ย่อมต้องทำงานกับผู้คนมากหน้าหลายตา ต่างช่วงอายุวัย ดังนั้น จึงต้องมีการปรับตัวเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้แบบไม่มีข้อขุ่นข้องหมองใจกัน การรับฟัง ลงมือทำ พร้อมทั้งนำผลการทำงานมาประชุมร่วมกันเพื่อประเมินภาพรวมความสำเร็จ และหาแนวทางแก้ไขจึงจะเป็นหนทางสู่ความสำเร็จ
ข้อมูลจากเว็บไซต์ www.viteetam.com ได้กล่าวถึงการเรียนรู้เบื้องหลังความเป็นของผู้ร่วมงานต่างวัย และต่างประสบการณ์จะช่วยให้การทำงานร่วมกันของคุณและเขาเป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดการขัดแย้งน้อยที่สุด โดยแบ่งตามช่วงอายุวัยเอาไว้ ดังนี้
1.อายุยังไม่ถึง 24 ปี แต่เริ่มทำงานในออฟฟิศอย่างจริงจัง
แสดงว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนมีความสามารถหรือมีศักยภาพสำหรับองค์กร แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาหรือเธอจะมีความพร้อมไปเสียทุกด้าน เพราะยังขาดประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถในการปรับตัว รวมไปถึงจุดยืนและความชัดเจนในความคิด พฤติกรรมและการกระทำ ทำให้ชีวิตการทำงานและสัมพันธภาพกับเพื่อนร่วมงานอาจจะยังไม่ค่อยแน่นอนเท่าไรนัก
อีกทั้งในวัยนี้ยังอยู่ในยุคของการแสดงอิสระทางความคิด ทำให้มีความเป็นตัวเองสูง ต้องการความโดดเด่น ชัดเจน และไม่ซ้ำใคร พฤติกรรมและความคิดของวัยนี้จึงค่อนข้างจะสุดโต่งในหลายๆ เรื่อง เมื่อต้องทำงานร่วมกับคนอื่นโดยเฉพาะกับเพื่อนร่วมงานที่มีอายุมากกว่าหลายปี ดังนั้น ลองมองลักษณะการทำงานของคนรอบข้างอย่างมีสติ แล้วคุณจะค้นพบวิถีทางที่เหมาะสมสำหรับการทำงานร่วมกับทุกคน
นอกจากนี้ คนวัยนี้ยังมีความสามารถด้านภาษาอังกฤษและคอมพิวเตอร์อย่างมาก ทำให้การทำงานกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นเรื่องง่ายดาย เพราะมีแบ็คกราวด์มาดีระดับหนึ่ง และพร้อมจะเปิดรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ได้ไม่ยาก
ดังนั้น หากคุณอยู่ในช่วงวัยนี้ ควรคำนึงถึงมารยาทและความเหมาะสมในการวางตัวในที่ทำงานด้วย ระบบความเป็นอาวุโสยังเป็นวัฒนธรรมในการอยู่ร่วมกันของคนไทย แม้คุณจะอยากแสดงตัวตนที่แท้จริง อยากแสดงความเท่าเทียมของสิทธิ แต่เรื่องของการใช้วาจา การให้เกียรติ และการให้ความเคารพก็ยังคงเป็นสิ่งที่ผู้น้อยไม่ควรก้าวร้าวต่อผู้ใหญ่อยู่ดี
2.อายุ 25-33 ปี โตมาอีกนิดพร้อมเป็นรุ่นพี่ของน้องๆ
เมื่ออายุงานเริ่มมากขึ้น ความสุขุมรอบคอบก็จะเพิ่มขึ้น รวมไปถึงความชำนาญในการทำงานก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย เพราะวัยนี้เริ่มทำงานด้วยความเข้าใจไม่ใช่กดปุ่มสั่งเหมือนช่วงแรกๆ ทำให้จับทิศทางการทำงานและจัดระบบระเบียบชีวิตงานและชีวิตส่วนตัวได้ดีขึ้น แต่ด้วยวัยที่ยังอยู่ในช่วงของการรักสนุก รักเพื่อน และรักแฟนอยู่ ทำให้ความใส่ใจในเรื่องของความก้าวหน้ายังไม่เข้มข้นเท่าไรนัก การสร้างสรรค์ผลงานจึงมักเกิดขึ้นเพราะได้รับการมอบหมายเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่การกระเสือกกระสนอยากจะโชว์ความสามารถของตัวเอง ซึ่งในที่สุดแล้วคนที่คิดได้ไวตระหนักได้ก่อนก็จะมีชีวิตที่มั่นคงก่อน
อย่างไรก็ตาม คนวัยนี้ยังคงอยู่ในช่วงของการเรียนรู้และพัฒนา เพื่อความก้าวหน้าในอาชีพการงาน แม้เขาหรือเธอจะมีความเชี่ยวชาญและคล่องงานมากในการทำงานของออฟฟิศนี้ แต่ก็ไม่อาจหยุดที่จะย่ำอยู่ที่เดิม หากคุณอยู่ในช่วงวัยนี้ ลองมองหาสิ่งใหม่ๆ ที่จะช่วยเพิ่มพูนความรู้ความสามารถให้ตัวคุณเองอยู่เสมอ อย่างเช่น การเข้าร่วมอบรมสัมมนา หรือการเข้าร่วมโครงการต่างๆ ที่จะทำให้คุณไม่ด้อยไปกว่าเด็กรุ่นใหม่ๆ เก่งๆ ที่เข้ามา ไม่อย่างนั้นแล้วมีหวังกระเด็นไปเป็นลูกน้องของรุ่นน้องแน่ๆ ทีนี้ประสบการณ์การทำงานก็อาจไม่ช่วยให้คุณรักษาความเหนือและความเก๋าไว้ได้
ช่วงวัยนี้จะอยู่ในช่วงของความสงสัยและขัดแย้งทางความคิด ชอบที่จะลองและเปลี่ยนแปลง ถ้าสิ่งนั้นจะทำให้เขาและเธอมีเงิน ความมั่นคง และความสำเร็จ จึงมักใช้ตัวเงินและผลตอบแทนเป็นบรรทัดฐานในการเลือกที่จะทำหรือไม่ทำอะไรสักอย่าง เพราะต้องการชีวิตที่สะดวกสบายในเวลาอันรวดเร็ว ลักษณะเฉพาะวัยของคนวัยนี้จึงเป็นคนค่อนข้างใจร้อน เพื่อนร่วมงานวัยอื่นอาจต้องทำความเข้าใจ แต่คุณอยู่ในช่วงวัยนี้จึงควรลดความแรงในตัวเองลงด้วย เพราะมันอาจทำให้คุณขาดเพื่อนและมิตรภาพที่ยั่งยืน หากมัวแต่จะมองผลประโยชน์ของตัวเองเพียงอย่างเดียว
คนวัยนี้อยู่ในยุคที่คลั่งไคล้เทคโนโลยีและความทันสมัยของการสื่อสาร อยู่ในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้านในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการเริ่มความแพร่หลายของอินเตอร์เน็ต เขาและเธอในวัยนี้จึงค่อนข้างมีความเยอะกับสื่อประเภทนี้ เรียกได้ว่าขาดเน็ตแล้วจะขาดใจ หลายครั้งที่เลือกใช้อินเตอร์เน็ตในการสื่อสารกับผู้อื่นโดยไม่จำเป็น เป็นผลให้ปฏิสัมพันธ์แบบ face-to-face หายไปอย่างน่าตกใจ หากคุณเป็นคนวัยนี้ก็ควรเพลาๆ ลงบ้าง หันมาคุยกันให้เห็นหน้าแบบตัวเป็นๆ หรือยกหูต่อสายคุยกันสดๆ บ้าง น่าจะทำให้บรรยากาศการทำงานร่วมกับคนอื่นดูใกล้ชิดกันมากขึ้น
3.อายุ 34-39 ปี รุ่นใหญ่ขึ้นมาอีกนิด
คนวัยนี้มีความเป็นผู้ใหญ่แล้วสำหรับน้องๆ คนอื่นๆ ในออฟฟิศ เนื่องจากชั่วโมงการทำงานค่อนข้างจะหลายปีจนกลายเป็นบุคคลตัวอย่าง และเป็นบรรทัดฐานสำหรับคนอื่นๆ อย่างไม่ตั้งใจ ดังนั้น หากคุณอยู่ในช่วงวัยนี้ควรรู้จักวางตัวให้เหมาะสม ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่และเป็นที่พึ่งที่ดีให้กับน้องๆ แล้วคุณจะมีแต่คนรักอย่างจริงใจ
หากคุณอยู่ในช่วงวัยนี้ อย่าลืมว่าคำพูดของคุณก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้ สิ่งที่หลุดจากปากของคนที่เป็นผู้ใหญ่ย่อมถูกนำไปแพร่กระจายต่อได้อย่างรวดเร็ว และถ้าคุณไม่อยากฆ่าตัวองด้วยคำพูดของตัว คุณก็ควรคิดให้ดีและคิดให้เยอะก่อนพูด ไม่อย่างนั้นเรื่องเล็กๆ จะกลายเป็นปัญหาและเป็นเรื่องใหญ่ได้
และในช่วงชีวิตวัยนี้เป็นยุคที่ใช้ชีวิตแบบทันสมัยและสังคมนิยม วัยนี้จะอยู่ในกลุ่มของผู้ที่ทำงานหนักและพร้อมจะจ่ายเยอะเพื่อเสพความสุขให้ตัวเอง ซึ่งคนรุ่นใหญ่กว่าจะมองว่าคนวัยนี้ใช้จ่ายได้ฟุ่มเฟือยมาก ส่วนรุ่นเด็กกว่าจะมองว่าคนวัยนี้ใช้ชีวิตได้ชิลจริง ต้องมีรายได้เยอะแน่นอน ดังนั้น หากคุณอยู่ในช่วงวัยนี้ต้องให้ชีวิตของคุณอยู่ในความสมดุล ควรมีการวางแผนชีวิตให้ดี โดยเฉพาะในเรื่องของรายรับ-รายจ่าย รู้จักใช้และรู้จักเก็บ ไม่ว่าจะใช้เงินเก่งอย่างไรก็จะไม่ลำบากในยามแก่และยามฉุกเฉิน
คนวัยนี้ถือว่าไม่ใช่เด็กๆ ดังนั้น การทำงานจึงค่อนข้างมั่นใจกับความคิดและหลักการของตัวเองหลังจากที่เคยพบพานปัญหาและอุปสรรคต่างๆ มา การจะไปโต้แย้งหรือเรียกร้องให้รุ่นใหญ่กว่ายอมรับความคิดและเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มั่นใจ หากคุณอยู่ในช่วงวัยนี้จึงจำเป็นต้องใช้เวลา หลักการ หลักการพูด การนำเสนอ ต้องทำการบ้านมาเป็นอย่างดีถึงจะสามารถโน้มน้าวให้คุณพี่ทั้งหลายโอนอ่อนผ่อนตามได้อย่างไม่คลางแคลงใจ
ขอขอบคุณที่มาข้อมูลจาก : www.viteetam.com