“วีรศักดิ์” สั่งการกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมมือกระทรวงเกษตรฯ สภาเกษตรกรแห่งชาติ และสมาคมกาแฟไทย ขึ้นเหนือช่วยเกษตรกรและผู้ประกอบการยกระดับกาแฟไทย พร้อมสร้างความรู้ความเข้าใจการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ จังหวัดเชียงใหม่
นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศร่วมมือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สภาเกษตรกรแห่งชาติ และสมาคมกาแฟไทย ติวเข้มเกษตรกรและผู้ประกอบการกาแฟภาคเหนือ เพื่อใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี หรือเอฟทีเอ ระหว่างวันที่ 19 – 20 มกราคม 2563 ณ จังหวัดเชียงใหม่
เพื่อพบปะเกษตรกรและผู้ประกอบการกาแฟภาคเหนือ ช่วยพัฒนาคุณภาพกาแฟไทย สร้างความรู้ความเข้าใจการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียน และประเทศคู่ค้าที่ไทยมีเอฟทีเอด้วยส่วนใหญ่ได้ยกเลิกการเก็บภาษีศุลกากรเมล็ดกาแฟดิบ กาแฟคั่ว และกาแฟสำเร็จรูปให้ไทยแล้ว
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เสริมว่า ในวันที่ 19 มกราคม กรมฯ จะลงพื้นที่พบปะเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟและผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่การผลิต ณ ตำบลเทพเสด็จ อำเภอดอยสะเก็ด และในวันที่ 20 มกราคม จะจัดสัมมนาให้เกษตรกรและกลุ่มผู้ประกอบการกาแฟภาคเหนือ ณ ศูนย์การเรียนรู้ เดอะคอฟฟีเนอรี่ เรื่องการสร้างอัตลักษณ์และพัฒนายกระดับคุณภาพกาแฟไทยให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และขยายตลาดส่งออกโดยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ ซึ่งกรมได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมกาแฟ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ตลอดจนโรงคั่วกาแฟเข้าร่วมด้วย
นางอรมน เพิ่มเติมว่า ปัจจุบันการบริโภคกาแฟของโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 ความต้องการบริโภคกาแฟอยู่ที่ 9.83 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2560 และปี 2561 ที่มีปริมาณ 9.23 และ 9.57 ล้านตันต่อปี เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 2.1 ต่อปี เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมกาแฟไทยที่เติบโตไปในทิศทางเดียวกับกาแฟโลก
โดยในช่วงปี 2558 – 2562 ปริมาณความต้องการใช้เมล็ดกาแฟของโรงงานแปรรูปในไทยมีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.21 ต่อปี หรือเฉลี่ยที่ 78,953 ตันต่อปี ในขณะที่ไทยสามารถผลิตเมล็ดกาแฟดิบได้เฉลี่ย 24,713 ตันต่อปี ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ จึงยังต้องนำเข้าวัตถุดิบเพื่อแปรรูปบริโภคในประเทศและส่งออก โดยที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ไทยนำเข้ากาแฟจากอาเซียน อาทิ เวียดนาม (ร้อยละ 92) ลาว (ร้อยละ 7) และอินโดนีเซีย (ร้อยละ 0.3)
โดยเก็บภาษีนำเข้าเมล็ดกาแฟดิบที่ร้อยละ 5 และยกเว้นการเก็บภาษีสำหรับเมล็ดกาแฟคั่ว นอกจากนี้ เนื่องจากไทยและออสเตรเลียได้ยกเลิกการภาษีศุลกากรสินค้ากาแฟและผลิตภัณฑ์กาแฟระหว่างกันแล้ว ภายใต้ความตกลงไทย – ออสเตรเลีย โดยการยกเลิกภาษีของไทยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ขณะที่ออสเตรเลียยกเลิกภาษีให้ไทยแล้วตั้งแต่ความตกลงมีผลบังคับใช้ ในปี 2548 จึงอาจมีผู้สนใจนำเข้าเมล็ดกาแฟคั่วจากออสเตรเลีย ซึ่งกรมฯ จะใช้โอกาสนี้หารือผู้เกี่ยวข้องติดตามประโยชน์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นด้วย
ทั้งนี้ แม้การผลิตเมล็ดกาแฟดิบของไทยจะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคในประเทศ แต่หากเป็นการผลิตกาแฟสำเร็จรูปจะพบว่า ในช่วงปี 2559 – 2562 ไทยส่งออกกาแฟสำเร็จรูปเฉลี่ย 29,876 ตันต่อปี มูลค่า 3,560 ล้านบาท โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญ คือ ลาว (ร้อยละ 24) เมียนมา (ร้อยละ 29) กัมพูชา (ร้อยละ 18) ฟิลิปปินส์ (ร้อยละ 13) และจีน (ร้อยละ 7) ซึ่งหากเทียบอันดับการส่งออกสู่ตลาดโลกแล้ว พบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ผู้ส่งออกกาแฟสำเร็จรูปของโลก โดยในปี 2561 ส่งออกไปโลก 28,473 ตัน เป็นอันดับที่ 10 ของโลก