กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ปลื้ม โครงการเดินหน้าสร้างความพร้อมเกษตรกร สหกรณ์ และผู้ประกอบการนมโคไทยผลตอบรับดีต่อเนื่อง
ล่าสุด สัมมนา “ต่อยอดนมโคไทย ผลักดันใช้เอฟทีเอ” คึกคัก วงการโคนมร่วมรับฟังความรู้และประสบการณ์จากกูรูแน่นขนัด เน้นสร้างโอกาสและยกระดับมาตรฐานการผลิตนมโคไทยบุกตลาดต่างประเทศโดยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ โดยเฉพาะตลาดอาเซียนและจีน
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนา “ต่อยอดนมโคไทย ผลักดันใช้เอฟทีเอ” ซึ่งกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศร่วมกับกรมปศุสัตว์ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 ณ โรงแรมเซอร์เจมส์ รีสอร์ทแอนด์คันทรีคลับ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ว่า การสัมมนาครั้งนี้ เพื่อให้ข้อมูลการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอขยายตลาดส่งออกนมและผลิตภัณฑ์ไปต่างประเทศ
โดยเฉพาะอาเซียน และจีน ซึ่งยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยแล้ว และเตรียมความพร้อมที่ไทยต้องเปิดตลาดให้กับผลิตภัณฑ์นมจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่จะเกิดขึ้นในปี 2563-2568 หลังจากที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ได้เปิดตลาดโดยยกเลิกการเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าส่งออกจากไทยทุกรายการแล้วตั้งแต่ปี 2558 โดยมีผู้เข้าร่วมจากวงการโคนม กว่า 180 คน อาทิ เกษตรกร สหกรณ์โคนม ศูนย์ร่วมน้ำนมดิบ สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัย
นางอรมน กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา กรมฯ ได้ทำงานร่วมกับกรมปศุสัตว์ สหกรณ์โคนม และผู้ประกอบการโคนมทั่วประเทศอย่างใกล้ชิด และพบว่าเกษตรกรโคนมไทยสามารถเพิ่มศักยภาพการเลี้ยงโคนม และผลิตน้ำนมดิบที่มีคุณภาพที่ดีขึ้นภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสมได้ กรมฯ จึงได้มองวิกฤติเป็นโอกาส และได้เริ่มโครงการ “จัดทัพโคนมไทย บุกตลาดด้วยเอฟทีเอ” ตั้งแต่ปี 2561
เพื่อพาเกษตรกรและสหกรณ์โคนมไทยไปจับคู่ธุรกิจ และขยายการส่งออกไปประเทศที่มีความต้องการนำเข้านมมีคุณภาพ และได้ยกเลิกการเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าจากไทยภายใต้เอฟทีเอแล้ว เช่น สิงคโปร์และจีน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเกษตรกรและสหกรณ์โคนมไทยที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถจับคู่ธุรกิจ ได้รับคำสั่งซื้อ และสามารถเพิ่มยอดขายนมและผลิตภัณฑ์ไปต่างประเทศโดยใช้ประโยชน์จากความตกลงเอฟทีเอ
นางอรมน เสริมว่า สำหรับการจัดสัมมนาครั้งนี้ กรมฯ ได้เชิญผู้ประกอบการนมและผลิตภัณฑ์นมของไทยที่เข้าร่วมโครงการ “จัดทัพโคนมไทย บุกตลาดด้วยเอฟทีเอ” ที่กรมฯ จัดขึ้น และพาไปบุกตลาดนมและผลิตภัณฑ์นม ที่เซี่ยงไฮ้ ในปี 2561 และสิงคโปร์ ในปี 2562 เช่น บริษัท แมรี่ แอนด์ แดรี่ โปรดักส์ จำกัด สหกรณ์โคนมไทย-เดนมาร์ก ห้วยสัตว์ใหญ่ และบริษัทบุญเกียรติไอศกรีม จำกัด เป็นต้น
มาร่วมเสวนาแบ่งปันประสบการณ์ เรื่อง “โอกาสในการทำตลาดนมและผลิตภัณฑ์นมในต่างประเทศ ด้วยการใช้ประโยชน์จากความตกลงเอฟทีเอ” ให้กับเกษตรกร และผู้ประกอบการนม ซึ่งพบว่าช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการเพิ่มศักยภาพและคุณภาพนมไทยของเกษตรกรโคนมไทยเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้นำคณะลงพื้นที่สำรวจศักยภาพบริษัทแมรี่ แอนด์ แดรี่ โปรดักส์ จำกัด อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นบริษัทที่มุ่งสร้างนวัตกรรมที่แตกต่างในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่อสุขภาพ และมีจุดเด่นเรื่องการจัดการฟาร์มโดยใช้เทคโนโลยีและระบบสารสนเทศ และกระบวนการผลิตสินค้านมที่เน้นยกระดับมาตรฐานการผลิตให้สามารถใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอได้เต็มที่
รวมทั้งยังได้เข้าร่วมงาน “เทศกาลโคนมแห่งชาติ” ประจำปี 2563 ณ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) สระบุรี โดยร่วมจัดนิทรรศการแสดงความสำเร็จการดำเนินงานโครงการ “จัดทัพโคนมไทย บุกตลาดด้วยเอฟทีเอ” ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และแผนงานในปีที่ 3 ที่กำลังดำเนินการอยู่ เพื่อสร้างโอกาสในการทำตลาดต่างประเทศโดยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการนมไทยด้วย
นางอรมน เพิ่มเติมว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมโคนมในประเทศไทยพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการบริโภคนมของคนไทยที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน มูลค่าการส่งออกสินค้านมและผลิตภัณฑ์นมของไทยไปยังตลาดต่างประเทศก็เติบโตขึ้นเช่นกัน โดยในปี 2561 ไทยส่งออกสินค้านมและผลิตภัณฑ์นมไปทั่วโลก 477 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นจากปี 2560 ร้อยละ 17 ในขณะที่ ปี 2562 ไทยส่งออกนมและผลิตภัณฑ์ได้เพิ่มขึ้นเป็น 536 ล้านเหรียญสหรัฐขยายตัวขึ้นจากปี 2561 ร้อยละ 12 สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น นมเปรี้ยวและโยเกิร์ต นมพร้อมดื่มยูเอชที เป็นต้น
โดยมีตลาดส่งออกสำคัญ คือ อาเซียน ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกกว่าร้อยละ 83 ของการส่งออกทั้งหมดของไทย โดยในปี 2562 ไทยส่งออกนมและผลิตภัณฑ์ไปอาเซียน 443 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 15 จากปี 2561
สำหรับความตกลงการค้าเสรี หรือเอฟทีเอ เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการขยายตัวของการส่งออกนมและผลิตภัณฑ์นมของไทย โดยปัจจุบันสินค้านมและผลิตภัณฑ์ของไทยสามารถส่งออกไปยัง 14 ประเทศคู่เอฟทีเอ โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ได้แก่ อาเซียน จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี และฮ่องกง ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์จากเอฟทีเอในการส่งออกปี 2562
ที่พบว่านมและผลิตภัณฑ์เป็นหนึ่งในสินค้าที่ผู้ประกอบการขอใช้สิทธิประโยชน์จากการส่งออกด้วยเอฟทีเอไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนในอันดับต้น หากแยกรายประเทศพบว่า กัมพูชา เมียนมา ฟิลิปปินส์ สปป.ลาว และสิงคโปร์ เป็นตลาดที่นำเข้านมและผลิตภัณฑ์จากไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีกในอนาคต
ทั้งนี้ ในปี 2561 ไทยส่งออกนมและผลิตภัณฑ์สู่ตลาดโลกมูลค่า 477.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปี 2560 ถึง ร้อยละ 17 ส่วนในปี 2562 ไทยส่งออกนมและผลิตภัณฑ์สู่ตลาดโลก 536.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปี 2561 อีกร้อยละ 12 มีตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ อาเซียน จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป (มีเนเธอร์แลนด์เป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 1 ในสหภาพยุโรป) สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น นมเปรี้ยว โยเกิร์ต นม UHT นมถั่วเหลืองที่มีนมผสม และนม/ครีมที่ไม่เติมน้ำตาล เป็นต้น สำหรับผู้สนใจข้อมูลการค้าระหว่างประเทศและการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ สามารถตรวจสอบจากเว็บไซต์ www.dtn.go.th