กรมพัฒน์ฯ เตือนประชาชน "ห้ามขาย" หรือ "สมยอม" ให้เอาชื่อไปใช้โดยไม่ได้ทำธุรกิจจริง! ก่อนเซ็นชื่อในเอกสารทุกครั้งต้องตรวจสอบให้ดี ป้องกันการถูกหลอกลวง
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ออกประกาศเตือนประชาชนเพิ่มความระวังในการใช้บัตรประชาชน และก่อนเซ็นต์ชื่อโดยเฉพาะเอกสารต่างๆ สำหรับยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท หลังพบเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่ถูกนำชื่อไปแอบอ้างจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจโดยไม่รู้ตัวมาก่อน โดยพบพฤติกรรมของกลุ่มคนที่เป็นกระบวนการแอบอ้างชื่อบุคคลอื่นเพื่อนำไปเปิดบริษัทหรือเป็นกรรมการบริษัท และกลุ่มที่ยอมขายชื่อตนเองเพื่อแลกกับผลประโยชน์ ซึ่งถือมีความผิดทางกฎหมายอาญาลงโทษแรงมีทั้งจำและปรับ!
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า "ในช่วงเวลาที่ผ่านมากรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนในประเด็น การถูกแอบอ้างชื่อเพื่อนำมาใช้จดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจและการถูกโยงเข้ามาเป็นกรรมการบริษัททั้งที่เจ้าของชื่อไม่ทราบมาก่อนนั้น โดยข้อเท็จจริงปรากฏว่า กรมฯ ได้พบพฤติกรรมที่ไม่สุจริตของคน 2 กลุ่ม คือ
1) กลุ่มบุคคลที่ต้องการจะจัดตั้งธุรกิจแต่ นำชื่อของบุคคลอื่นมาแอบอ้าง เพื่อใช้ประกอบการยื่นจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเพื่อให้มีจำนวนผู้เริ่มก่อการครบทั้ง 3 คน ตามที่กฎหมายกำหนด
2) กลุ่ม รับจ้างขายชื่อ โดยยินยอมให้นำชื่อของตนเองไปใช้จดทะเบียนธุรกิจซึ่งอาจได้รับค่าตอบแทนหรืออาจจะไม่ได้รับก็ได้
นอกจากนี้ ยังมีอีกกลุ่มคนที่ ถูกแอบอ้างหรือปลอมลายมือชื่อ โดยที่ไม่ได้ยินยอมให้นำชื่อของตนไปใช้ในการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจกระทั่งมีการฟ้องร้องทางธุรกิจจนทำให้ทราบว่าตนได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสียหายนั้น"
อธิบดี กล่าวต่อว่า "กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความมีธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจของนิติบุคคลเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นการเริ่มต้นของธุรกิจหากไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความโปร่งใสก็ย่อมมีแนวโน้มที่นิติบุคคลรายนั้นจะประกอบธุรกิจที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ประกอบกับมีเจตนาที่จะจัดตั้งธุรกิจขึ้นมาเพื่อหลอกลวงผู้อื่น
ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศได้ กรมฯ จึงออกประกาศ เรื่อง แจ้งเตือนประชาชนให้ใช้ความระมัดระวังในการลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์เพื่อใช้ในการยื่นคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัท พ.ศ. 2563 ทั้งนี้ การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจโดยไม่มีเจตนาหรือจุดประสงค์ที่จะดำเนินธุรกิจตามที่แจ้งไว้
ถือเป็นการแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จต่อนายทะเบียนและจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ โดยการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งกรมฯ จะดำเนินคดีตามกฎหมายกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าวให้ถึงที่สุด"
"อย่างไรก็ดี กรมฯ ขอแจ้งเตือนไปยังประชาชนให้ระวังการถูกนำบัตรประจำตัวประชาชนและข้อมูลในบัตรไปสวมรอยจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลโดยไม่รู้ตัว และหากจำเป็นต้องมอบอำนาจให้ผู้อื่นกระทำการใดแทน จะต้องระบุข้อความสำหรับธุรกรรมดังกล่าวลงบนสำเนาบัตรประชาชนด้วยทุกครั้ง อีกทั้งต้องระมัดระวังและตรวจสอบข้อความก่อนลงลายมือชื่อในเอกสารหรือแบบพิมพ์ต่างๆ
เพื่อป้องกันการถูกหลอกนำชื่อไปใช้จดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจหรือดำเนินการแก้ไขใดๆ ในบริษัท โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงอำนาจของกรรมการ สุดท้ายนี้ กรมฯ ได้กำชับให้นายทะเบียนที่มีหน้าที่พิจารณาการจดทะเบียนนิติบุคคลให้ตรวจสอบเอกสารการยื่นขอจดทะเบียนด้วยความรอบคอบ และเป็นไปตามที่ระเบียบฯ กำหนด" อธิบดี กล่าวในท้ายที่สุด