คณะกรรมการ ธ.ก.ส. เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ประกอบการภาคเกษตรที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยขยายระยะเวลาชำระหนี้ ลดอัตราดอกเบี้ย ปลอดชำระเงินต้นเงินใน 3 ปีแรกได้
พร้อมเติมสินเชื่อใหม่โดยคิดอัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนปรน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจ บรรเทาความเดือดร้อน ระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี 1 มกราคม 63 - 31 ธันวาคม 64
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการธนาคาร เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยเผชิญหน้ากับหลากหลายสถานการณ์ที่ส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจ ธ.ก.ส. จึงได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ประกอบการภาคเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งทางตรง และทางอ้อม อาทิ สงครามการค้า ภัยแล้ง น้ำท่วม ราคาผลผลิตตกต่ำ และการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประกอบด้วยการขยายระยะเวลาชำระหนี้ ลดอัตราดอกเบี้ย ปลอดชำระต้นเงินใน 3 ปีแรก
พร้อมเติมสินเชื่อใหม่โดยคิดอัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนปรน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจ ระยะเวลาดำเนินมาตรการ 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 - 31 ธันวาคม 2564 ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยขอบเขตลูกหนี้ที่ให้ความช่วยเหลือตามมาตรการนี้ ซึ่งยังคงมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจหรือสามารถชำระหนี้ได้ในอนาคต ดังนี้
1) ลูกหนี้ปกติ (Non-NPL) ตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 ให้สามารถปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในลักษณะเชิงป้องกัน (Pre-emptive) ในวงเงินที่ไม่เกินหนี้เดิม ตั้งแต่เริ่มมีสัญญาณของการมีปัญหาในการชำระหนี้โดยลูกหนี้ยังไม่เป็นหนี้ที่ด้อยคุณภาพ กล่าวคือ ในส่วนของต้นเงินกู้และดอกเบี้ยเดิมก่อนปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ให้ขยายระยะเวลาชำระหนี้
กรณีเกษตรกรและบุคคลชำระภายในไม่เกิน 15 ปี สามารถปลอดชำระต้นเงินได้ไม่เกิน 3ปีแรก กรณีผู้ประกอบการและสถาบัน ขยายระยะเวลาชำระหนี้ภายในไม่เกิน 20 ปี และปลอดชำระต้นเงิน ได้ไม่เกิน 3 ปีแรก และ/หรือลดดอกเบี้ยเดิมให้แก่ลูกหนี้แต่ละราย ซึ่งเมื่อลดแล้วเหลือดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า MRR หรือ MLR ตามประเภทของลูกหนี้ ในส่วนของดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นใหม่จากต้นเงินที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้เดิม ให้คิดจากลูกหนี้แต่ละประเภท โดยเกษตรกรและบุคคล คิดในอัตราไม่ต่ำกว่า MRR และผู้ประกอบการและสถาบัน คิดในอัตราไม่ต่ำกว่า MLR
2) ด้านลูกหนี้ NPL (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562) ให้การช่วยเหลือในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สินเดิมในวงเงินที่ไม่เกินหนี้เดิม กล่าวคือ กรณีเกษตรกรและบุคคล ต้นเงินกู้เดิมก่อนปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ให้สามารถขยายระยะเวลาชำระหนี้ตามความสามารถในการชำระของลูกหนี้แต่ละราย โดยกำหนดชำระให้แล้วเสร็จภายในไม่เกิน 15 ปี สามารถปลอดชำระต้นเงินได้ไม่เกิน 3 ปีแรก
ส่วนดอกเบี้ยของต้นเงินกู้เดิมก่อนปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ให้ชำระตามความสามารถในการชำระของลูกหนี้แต่ละรายให้แล้วเสร็จภายในไม่เกิน 15 ปี และ/หรือลดดอกเบี้ยเดิมให้แก่ลูกหนี้แต่ละราย ซึ่งเมื่อลดแล้วเหลือดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า MRR
สำหรับดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นใหม่จากต้นเงินที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้เดิม ให้คิดจากลูกหนี้แต่ละราย ในอัตราไม่ ต่ำกว่า MRR - 1 กรณีผู้ประกอบการและสถาบัน ต้นเงินกู้เดิมก่อนปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ให้ขยายระยะเวลาชำระหนี้ตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้แต่ละรายให้แล้วเสร็จภายในไม่เกิน 20 ปี สามารถปลอดชำระต้นเงินได้ไม่เกิน 3 ปีแรก
ส่วนดอกเบี้ยของต้นเงินกู้เดิมก่อนปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ให้ชำระตามความสามารถในการชำระของลูกหนี้แต่ละรายให้แล้วเสร็จภายในไม่เกิน 20 ปี และ/หรือลดดอกเบี้ยเดิมให้แก่ลูกหนี้แต่ละราย ซึ่งเมื่อลดแล้วเหลือดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า MLR สำหรับดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นใหม่จากต้นเงินที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้เดิม ให้คิดในอัตราไม่ต่ำกว่า MLR - 0.50
นอกจากนี้ ยังเตรียมสินเชื่อใหม่ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) หรือเป็นค่าใช้จ่ายในการประกอบอาชีพแก่ลูกหนี้เพิ่มเติมจากการช่วยเหลือลูกหนี้ ซึ่งกรณีที่ลูกหนี้ต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพหรือดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องในระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ กรณีเกษตรกรและบุคคล คิดดอกเบี้ยตามศักยภาพ กำหนดวงเงินกู้ 100,000 บาทแรก
อัตราดอกเบี้ยตามชั้นลูกค้าหรือตามการประเมินปัจจัยเสี่ยง - 0.25 เป็นระยะเวลา 1 ปี และ ส่วนที่เกิน 100,000 บาท คิดดอกเบี้ยตามชั้นลูกค้า กรณีผู้ประกอบการและสถาบัน คิดดอกเบี้ยในอัตราไม่ต่ำกว่า MLR – 1
มาตราการช่วยเหลือลูกหนี้ดังกล่าว สามารถให้ความช่วยเหลือครอบคลุมลูกหนี้ทุกกลุ่ม ทั้งในส่วนของลูกหนี้ปกติที่มีสัญญาณของการมีปัญหาในการชำระหนี้ และลูกหนี้ที่มีหนี้สินเป็นภาระหนัก หวังเป็น อย่างยิ่งว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยให้ลูกค้า ธ.ก.ส. ได้ผ่อนคลายความกังวลในภาระหนี้สินเดิม และเงินทุนหมุนเวียนใหม่ในการประกอบอาชีพหรือดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา หรือที่ Call Center 02 555 0555 ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป