ตามที่ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาประกาศแนะนำให้ประชาชนหันมารับประทานสมุนไพร หรือใช้สมุนไพรรับประทานเป็นอาหาร เพราะมีสรรพคุณที่จะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัส โดยเฉพาะ COVID-19 ในขณะนี้
คุณลักษณะโดดเด่นของสมุนไพรไทยนั้นจะให้สารที่กระตุ้นภูมิคุ้มกัน และมีศักยภาพในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส ถือเป็นการสร้างเกราะป้องกันตัวเอง สามารถช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อไวรัสได้ อย่างไรก็ตาม สมุนไพรเหล่านี้ไม่ได้เป็นยารักษาโรค แต่เป็นอาหารที่จะสร้างภูมิคุ้มกันการเกิดโรค ซึ่งนอกจาก ฟ้าทลายโจรแล้ว ยังมีสมุนไพรอะไรอีกบ้าง ชี้ช่องรวย พอจะรวบรวมมาได้ดังนี้ค่ะ
1.พลูคาว
"ผักพลูคาว” หรือ ผักคาวตอง ผักก้านตอง เป็นสมุนไพรพื้นบ้านของไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม กัมพูชา ลาว อินโดนีเซีย พลูคาวมีใบเป็นรูปหัวใจ ตระกูลเดียวกับชะพลูเป็นพืชล้มลุก ปลูกมากทางภาคเหนือของประเทศไทย เป็นผักพื้นบ้านที่มีการบริโภคมาหลายร้อยปี จะใช้กินแกล้มกับลาบ ลู่ ก้อย พลูคาวชอบอากาศเย็นชื้นอุณหภูมิ 5-25 องศาเซลเซียส ปัจจุบันมีการขยายการปลูกพลูคาวที่จังหวัดเชียงราย
สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีการรายงานถึงสรรพคุณของผักคาวตอง และหนังสือ THE ASEAN JOURNAL OF RADIOLOGY ได้เสนอข้อมูลเกี่ยวกับการนำพลูคาวไปให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งรับประทาน พบว่า 90% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งมีสุขภาพดีขึ้น ซึ่งต่อมามีการค้นพบว่าสารที่มีฤทธิ์ของพลูคาวคือ สารกลุ่มฟลาโวนอยด์และอัลคาลอยด์ มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำลายเซลส์มะเร็งและเนื้องอก ยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อมะเร็งและเนื้องอก ทำลายเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา รักษาน้ำเหลืองเสีย ขับปัสสาวะ และขับสารพิษ
2.ผลไม้ตระกูลส้ม เช่น ส้ม ส้มซ่า มะนาว
ผลไม้ตระกูลส้ม เช่น ส้มชนิดต่างๆ ส้มโอ เกรฟฟรุต มะนาว ส้มซ่า ผลไม้กลุ่มนี้มีวิตามินซีสูงที่จะช่วยกระตุ้นร่างกายให้สร้างเม็ดเลือดขาว ทำให้ภูมิต้านทานแข็งแรงขึ้น
นอกจากนี้ ผักผลไม้ที่มีสีเหลืองและสีส้มจะมีสารสำคัญ คือ แคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ เบต้า-แคโรทีน (Beta-carotene) ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และวิตามินซี (Vitamin C) ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดอาการอักเสบ ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง ช่วยรักษาสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ชะลอการเสื่อมของจอประสาทตา มีส่วนช่วยพัฒนาการมองเห็นของเด็กเล็ก ลดการเสื่อมของเซลล์ร่างกาย สร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย และช่วยให้ผิวพรรณสดใส
3.หอมแดง
หอมแดง หรือ ALLIUM ASCALONI-CUM LINN. อยู่ในวงศ์ ALLIACEAE มีขายตามตลาดสดทั่วไป มีคุณค่าทางอาหาร คือมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสในสัดส่วนที่เหมาะสมกับการดูดซึมของร่างกาย มีเบต้าแคโรทีน มีสารฟลาโวนอยด์ โดยเฉพาะเควอซิทีน เป็นเกราะกันมะเร็งให้กับคนได้ เหมือนกับพบในไวน์แดงราคาแพง มีสารอาหารมากกว่า 10 ชนิด กากใยอาหาร รับประทานหรือทำตามสูตรที่กล่าวข้างต้น ช่วยทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานเชื้อหวัดได้
4.มะรุม
มะรุม เป็นพืชพื้นบ้านที่มีประโยชน์ สามารถรับประทานได้แทบทุกส่วน โดยเลือกใช้ใบที่ไม่แก่ หรืออ่อนเกินไป รับประทานสดๆ หรือไม่ถูกความร้อนมากเกินไป เพื่อให้ได้สารอาหารเต็มที่ มะรุมยังอุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินซี โปรตีน หรือธาตุเหล็ก ประโยชน์ของมะรุม เช่น รักษาอาการหวัด ลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด บรรเทาอาการปวด บำรุงร่างกาย สายตา ผิวพรรณ และต่อต้านมะเร็ง ข้อควรระวังการใช้มะรุม เช่น ผู้ป่วยโรคเลือด หญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วยโรคเกาต์ ไม่ควรรับประทานมะรุมมากเกินไป เพราะอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น
5.ใบหม่อน ลูกหม่อน
ใบหม่อน ลูกหม่อน หรือ "มัลเบอร์รี" ถือว่าเป็นผลไม้ต้านโรค ซึ่งในผลของหม่อนนั้นจะมีสาร Anthocyanins สูงมาก ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ ป้องกันโรคมะเร็ง มีสาร Deoxynojirimycin ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด มีกาบา (GABA) ช่วยรักษาความสมดุลสารสื่อประสาท ช่วยผ่อนคลาย ลดความเครียด ช่วยให้หลับสนิท มีสาร Phytosterol ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ มีสาร Polyphenols เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกตัวหนึ่ง ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และ มีสารประกอบฟีนอล ช่วยต้านอาการอักเสบ แก้อาการเส้นเลือดโป่งพอง ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส
6.ขมิ้นชัน
ขมิ้นหรือขมิ้นชัน เป็นเครื่องเทศที่ใช้อย่างแพร่หลายในอาหารของประเทศแถบเอเชีย โดยเฉพาะอาหารประเภทแกง ด้วยรสชาติและสีสันอันเป็นเอกลักษณ์ มีรสเผ็ดร้อน และขมเล็กน้อย จึงถูกนำไปใช้เป็นเครื่องปรุงรสหรือแต่งสีในผลิตภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ และสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย สำหรับส่วนที่เป็นเหง้าหรือรากของต้นนิยมใช้ทำเป็นยารักษาโรค เนื่องจากสารสำคัญสีเหลืองที่ชื่อว่า เคอร์คูมิน (Curcumin) ได้รับการกล่าวอ้างถึงฤทธิ์ในการรักษาและป้องกันโรคได้มากมายตั้งแต่อดีต เช่น โรคปวดข้อ ต้านการอักเสบในร่างกาย บรรเทาอาการท้องเสีย ยับยั้งการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรหรือเอชไพโลไร (Helicobacter Pylori) ท้องอืด ท้องเฟ้อ ลดไขมันในเลือด การอักเสบของผิวหนัง ปวดศีรษะ เป็นต้น
นอกจากนี้ "ขมิ้นชัน" ยังมีสรรพคุณ ช่วยลดไขมันในตับ สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ทำความสะอาดลำไส้ เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ ต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดมะเร็ง กำจัดเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารที่กินเข้าไป
7.กะเพรา
สรรพคุณของกะเพรา ใช้ทำเป็นยาอายุวัฒนะ (the elixir of life) ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นและป้องกันอาการหวัดได้ (ใบ) กะเพราเป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพรหลายชนิด เช่น ยารักษาตานขโมยสำหรับเด็ก ยาแก้ทางเด็ก ฯลฯ รากแห้งนำมาชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม ช่วยแก้โรคธาตุพิการ (ราก) ช่วยบำรุงธาตุไฟ (ใบ) ช่วยแก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน (ใบ) ช่วยแก้อาการปวดด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาคั้นรับประทานสด 1 ถ้วยตะไล จะช่วยแก้อาการปวดมวนท้องได้เป็นอย่างดี (ใบ)ช่วยขับลมแก้อาการปวดท้องอุจจาระ (ใบ) ใบกะเพรามีสรรพคุณช่วยขับลมในกระเพาะ แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง
8.มะขามป้อม
มะขามป้อม เป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องการมีวิตามินซีสูงมาก สามารถบรรเทาโรคหวัด ลดไข้ และละลายเสมหะ ได้ดี มีหลักฐานพบว่า ชาวอินเดียใช้มะขามป้อมในการรักษาโรคแบบอายุรเวทมาตั้งแต่อดีต เหตุที่มะขามป้อมมีวิตามินซีสูงมากกว่าส้มและผลไม้อีกหลายชนิด เนื่องจากมีสารแทนนินและโพลิฟีนอลที่ช่วยป้องกันไม่ให้วิตามินซีสลายตัว และทำให้วิตามินซีคงตัวได้นานขึ้น ยางของมะขามป้อมมีฤทธิ์ในการระบาย จึงมีการนำมาสกัดเป็นยาระบาย แต่หากรับประทานมากเกินไปอาจท้องเสียได้ นอกจากรักษาโรคด้วยการรับประทาน การอาบ หรือทาแล้ว มะขามป้อมยังมีสรรพคุณในการบำรุงร่างกายได้ด้วย ก่อนรับประทานมะขามป้อมเพื่อเป็นยาต้องพิจารณาด้วยว่า ตนเองมีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยงหรือไม่ เพราะสารบางชนิดในมะขามป้อมอาจทำให้โรคกำเริบมากขึ้นได้ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
9.หอมหัวใหญ่
หอมหัวใหญ่ (Allium cepa) เป็นพืชในตระกูลเดียวกับกระเทียม อุดมไปด้วยธาตุแคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม กำมะถัน ซีลีเนียม เบต้าแคโรทีน กรดโฟลิก และฟลาโวนอยด์เควอเซทิน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ลดอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ มีฤทธิ์มากในการขับสารพิษทั้งที่เป็นโลหะหนักและพยาธิ เควอเซทินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมาก มีสรรพคุณช่วยการลดคอเลสเตอรอลและความดันเลือด มีสารไซโคลอัลลิอิน ที่สามารถละลายลิ่มเลือดที่จับตัวอุดขวางทางเดินเลือดได้ และในหอมหัวใหญ่ยังสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไลพอกซีจีเนสและไซโคลออกซีจีเนส ซึ่งสร้างสารพรอสตาแกลนดินและทรอมบ็อกเซนซึ่งเป็นสารก่อการอักเสบ เมื่อให้หนูตะเภากินสารสกัดแอลกอฮอล์ของหอมหัวใหญ่ 1 มิลลิลิตร พบว่าสามารถลดอาการหอบหืดจากการทดลองสูดดมสารก่อภูมิแพ้ได้ นอกจากนี้ ยังมีเควอเซทิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฤทธิ์เชิงเภสัชวิทยาของมัน พบว่าเควอเซทินสามารถยับยั้งการปล่อยฮิสตามีนจากมาสต์เซลล์ และยับยั้งการสร้างสารที่เกี่ยวข้องกับภูมิแพ้ เช่น ลิวโคทรีนได้ เควอเซทินพบมากที่สุดในผิวชั้นต้นๆ ของหอมหัวใหญ่ และพบมากกว่าในหอมหัวใหญ่สีม่วงและหอมแดง แต่ฤทธิ์ป้องกันอาการหอบหืดและภูมิแพ้คาดว่ามาจากสารกลุ่มไอโซไทโอไซยาเนต
10.แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ รสชาติอร่อย หอม หวาน และให้พลังงานน้อย โดยแอปเปิลแต่ละสีจะมีประโยชน์โดดเด่นแตกต่างกันไป
-แอปเปิ้ลสีเขียว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก เพราะน้ำตาลน้อย มีปริมาณไฟเบอร์ และวิตามินซีมากกว่าสีอื่น
-แอปเปิ้ลสีแดงเข้ม มีรสชาติหวานกว่าแอปเปิลสีอ่อน เปลือกของแอปเปิลสีแดงมีสารแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย ลดความเครียด และต้านโรคมะเร็ง
-แอปเปิ้ลสีชมพู มีรสชาติหวาน แต่ไม่กรอบเท่าสีแดง มีประโยชน์คล้ายแอปเปิลชนิดอื่นๆ ส่วน แอปเปิลสีเหลือง สามารถช่วยล้างสารพิษจากตับ และช่วยบำรุงสายตา
แอปเปิลเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์เหมาะแก่การรับประทานทุกวัน แต่ต้องระมัดระวังเรื่องยาฆ่าแมลง และน้ำตาล ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
11.เห็ดต่างๆ
เห็ด นับเป็นผักชนิดหนึ่งที่ไม่มีไขมัน มีน้ำตาลและเกลือค่อนข้างต่ำ ดังนั้นเมื่อรับประทานเห็ดเข้าไปเราจึงไม่อ้วน เห็ดมีกรดอะมิโนกลูตามิค ซึ่งกรดตัวนี้จะทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นประสาทการรับรสของเราให้ทำงานเร็วขึ้นนั่นเอง
-เห็ดช่วยต้านอนุมูลอิสระ และดูแลระบบต่างๆ ในร่างกาย นอกจากนี้ ยังให้วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายทั้ง วิตามินบีรวม เกลือแร่ เช่น ซิลิเนียม โพรแทสเซียม และมีธาตุทองแดง ซึ่งจะช่วยต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ห่างไกลจากโรคมะเร็ง ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเป็นปกติ รวมถึงระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาทก็ทำงานได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยปรับสมดุลน้ำในร่างกายได้อีกด้วย
-เห็ด ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์คุ้มกันธรรมชาติ ซึ่งร่างกายของเรามีอยู่แล้วนั้นให้ทำหน้าที่ทำลายเซลล์แปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย รวมถึงพวกไวรัสและแบคทีเรียอื่นๆ ด้วย จึงเป็นไปได้ว่าเมื่อเรารับประทานเห็ดเข้าไปแล้วนั้น ร่างกายของเราก็จะมีภูมิต้านทาน แข็งแรงไม่อ่อนแอหรือป่วยง่ายๆ ไม่เพียงแต่จะสร้างภูมิต้านทานเท่านั้น เพราะถ้าร่างกายเราสร้างไม่ทันหรือไม่เคยมีตั้งแต่แรก เห็ดก็สามารถเป็นยาช่วยรักษาโรคบางอย่างได้อยู่ เช่น ลดไข้ ร้อนในช้ำใน ความดันโลหิตสูง ลดระดับน้ำตาลและระดับคอเลสเตอรอลรวมทั้งรักษาอาการอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย เพราะว่าเห็ดจัดเป็นยาเย็นจึงทำให้สามารถรักษาโรคที่กล่าวมาข้างต้นได้
12.ตรีผลา
ตรีผลา ช่วยรักษาสมดุลของระบบย่อยอาหาร ช่วยลดกรด และเพิ่มความรู้สึกอยากอาหาร ช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกาย เป็นยาระบาย ช่วยขับเสมหะ แก้ไอ แก้เจ็บคอ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยต้านการอักเสบ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ จึงช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ปวดเข่า รวมไปถึงมะเร็ง
13.มะม่วงหาวมะนาวโห่
สรรพคุณส่วนผล –สามารถนำมารับประทานเป็นผลไม้ได้ เนื่องจากมีวิตามินซีสูง จึงสามารถรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ สามารถช่วยชะลอความแก่ชรา ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ มีส่วนช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้ อาทิ เบาหวาน โรคเกาต์ โรคปอด โรคถุงลมโป่งพองจากการสูบบุหรี่ โรคไต โรคโลหิตจาง เป็นต้น มีส่วนช่วยในการลดความอ้วนได้
สรรพคุณส่วนใบและยอดอ่อน –แก้เจ็บคอ แก้ท้องเสีย สามารถบรรเทาอาการไข้ ถอนพิษไข้ได้ ช่วยรักษาอาการคันตามผิวหนัง โรคริดสีดวงทวาร (ยอดอ่อน)
สรรพคุณส่วนเปลือก –ขับน้ำเหลืองเสีย แก้ท้องเสีย แก้ปวดฟัน พอกดับพิษ รักษาโรคผิวหนังเรื้อรัง
สรรพคุณส่วนราก –ช่วยให้เจริญอาหาร ดับพิษร้อน บำรุงธาตุ แก้ไข้ บำรุงกระเพาะอาหาร มีประโยชน์รักษาแผลเบาหวาน
สรรพคุณส่วนลำต้นและเนื้อไม้ -ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง กระปรี้กระเปร่า แก้อาการอ่อนเพลียและเมื่อยล้า ช่วยบำรุงกำลังและร่างกาย ทำให้มีกำลังวังชาดี ใช้รักษาโรคผิวหนังเรื้อรัง ทำให้ผิวพรรณชุ่มชื่นขึ้น
สรรพคุณส่วนน้ำยาง –แก้กลากเกลื้อน ใช้สมานแผล รักษาแผลเนื้องอก รักษาหูด รักษาตาปลา
หญิงมีครรภ์ห้ามรับประทานเด็ดขาด ส่วนคนที่เป็นโรคหัวใจโตไม่ควรรับประทานมากเกินไป เพราะเมื่อรับประทานผลเข้าไปแล้วประมาณ 10 นาที จะทำให้รู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ควรรับประทานวันละ 1 ผลเพื่อให้ร่างกายปรับสภาพจนชินก่อน เมื่อไม่มีอาการแล้วค่อยเพิ่มปริมาณเป็น 10 ผล รับประทานประมาณ 3 เดือนจะทำให้เลือดลมไหลเวียนดี