จะเห็นได้ว่า "ธุรกิจหยอดเหรียญ" ยังคงเป้นอีกหนึ่งรูปแบบธุรกิจที่น่าลงทุน ซึ่งธุรกิจหยอดเหรียญก็มีอยู่หลายประเภทที่คอยให้บริการลูกค้า วันนี้ ชี้ช่องรวยจะมาบอกถึงโอกาสความเป็นไปได้ของธุรกิจนี้ พร้อมแนวทางการพัฒนาเพื่อให้ใครก็ตามที่กำลังจะลงทุนกับธุรกิจนี้ได้นำไปปรับใช้ให้ประสบความสำเร็จ
1.ทำเล
คุณต้องเป็นนักหาทำเลตัวยง เป็นการอาศัยความเก่งกาจเพียงอย่างเดียวนี้มองหาทำเลที่คาดหวังถึงการทำเงิน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการทำเป็นอาชีพหลักไม่ใช่อาชีพเสริม เพราะการทำเป็นอาชีพหลักสร้างรายได้ต่อเดือนเลี้ยงตัวนั้น ต้องลงทุนขั้นต่ำที่ 10 ตู้บางคนมากถึง 40 ตู้ ฉะนั้นทำเลเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเป็นตู้เดิมเติมเงินมือถือ ทำเลที่ตั้งนอกจากจะอิงแหล่งชุมชนแล้ว ต้องอิงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่นที่เติมเงินครั้งละไม่มากแต่บ่อยครั้งต่อวัน ส่วนโอกาสทำเลในอนาคตขยายตามขอบชุมชนเมือง ไปตามอสังหาริมทรัพย์ที่โต แม้แต่ชุมชนโรงงาน
2.การลงทุน
ผู้ที่เป็นมือใหม่จุดเริ่มต้นมักประสบความสำเร็จจากการตั้งตู้เดียวก่อนแล้วดี ก็ทยอยเพิ่มตู้ที่ละ 1-2 ตู้ แต่จากนั้นก็จะเริ่มซื้อทีละ 5 -10 ตู้ จากสถิติปัจจุบัน ผู้ที่ไม่ทำอาชีพอื่นเลย คือลงทุนเฉลี่ย 10 ตู้อยู่ได้โดยไม่ต้องทำอาชีพอื่น บริหารตู้อย่างเดียว การบริหารคือเข้าทำความสะอาด และเก็บเงิน แบ่งเวลาในการเข้าไปดูแล การสร้างรายได้จากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ ขึ้นอยู่กับทำเล รายได้ต่อเดือนต่อตู้ที่ 4,000 บาท สูงสุด 15,000 บาทต่อตู้ต่อเดือน ถ้าพลาดอาจต่ำกว่า 4,000 บาท แต่ก็สามารถเคลื่อนย้ายหาทำเลใหม่ได้ ตู้น้ำดื่มมาร์จิ้นสูง ราคาขายน้ำจากตู้น้ำหยอดเหรียญเฉลี่ยทุกแบรนด์ลิตรละ 1 บาท ต้นทุนน้ำ ไฟ 8 สตางค์ (ถ้ารายได้ 10,000 บาทต้นทุนก็ 800 บาทเท่านั้น กำไร 9,200 บาท)
3.โปรดักส์
โปรดักส์ตรงกับกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ เช่น ตู้น้ำ ต้องตอบโจทย์การจัดการน้ำ มีความสะอาด การดูแลรักษา บำรุง และการทำความสะอาดตู้ภายนอก ตู้เติมเงินมือถือต้องสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่นได้รวดเร็ว เช่น กระบวนการเติมเงินได้ภายใน 20 วินาที จากที่ผ่านมาจะอยู่ที่ 1-2 นาที ถึงจบกระบวนการ
4.การบริหารเหรียญ
เพราะเหรียญเป็นเงินที่มีน้ำหนักการไขเหรียญเป็นภาระที่ผู้ประกอบการต้องสนใจ อาจต้องลงทุนกับการคัดแยกเหรียญให้กับธนาคารหรือกลุ่มแม่ค้า สำหรับตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ 1 ใบ จะใส่เหรียญบาทได้อย่างต่ำ 5,000 เหรียญ ถ้าเหรียญ 10 เป็น 10,000 เหรียญ ขึ้นกับชนิด และขนาดความจุของตู้
ส่วนโอกาสที่จะล้มเหลวคือของธุรกิจตระกูลตู้หยอดเหรียญ “ทำเล” แต่การล้มเหลวของธุรกิจนี้ไม่ใช่ล้มเหลวแบบเข้าตาจน แต่การล้มเหลวคือรายได้น้อย ถ้าต้องการรายได้ดีขึ้นให้ย้ายทำเลใหม่ อาจจะห่างจากจุดเดิม 50 เมตรถึง 200 เมตร เพราะใช้พื้นที่ประมาณ 1*2 ตารางไม่ค่อยเกิดปัญหาเรื่องการเช่าที่ แต่จะรู้ว่าทำเลนั้นๆ ดีหรือไม่ดีให้ใช้ระยะเวลา 1 เดือนถึงจะรู้ว่ามีผู้ใช้ในปริมาณที่เพียงพอหรือไม่
แต่สำหรับใครที่คิดจะลงทุนในธุรกิจนี้ก็ต้องคิดให้ดีๆก่อน เพราะตู้หยอดเหรียญแบบที่เราคุ้นเคยกำลังจะเปลี่ยนหน้าตาไป ด้วยเทคโนโลยีแห่งยุคสมัยอย่าง AI และ Machine Learning สินค้าก็คงยังอยู่ในตู้ แต่จะสั่งซื้อจากที่ไหนก็ได้ทุกที่ทุกเวลา และตอนนี้แบรนด์ใหญ่อย่าง Coca Cola เริ่มทำแล้ว พูดกันแบบง่ายๆ ก็คือ เทรนด์การพัฒนาตู้หยอดเหรียญหลังจากนี้ จะเป็นการนำเอาเทคโนโลยีแห่งยุคเข้าไปใส่
เพื่อให้ทำงานได้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคมากขึ้น อย่างเช่น การจดจำใบหน้าของผู้ซื้อ หรือสั่งซื้อสินค้าจากบ้านแล้วไปรับที่ตู้ และที่ทำได้มากกว่านั้น คือ ทุกการสั่งซื้อจะบันทึกเป็นฐานข้อมูลไว้ เพื่อครั้งต่อไปที่ลูกค้าไปกดซื้อสินค้า หมวดหมู่ที่เข้าดูบ่อย ซื้อบ่อย หรือมีแนวโน้มที่จะซื้อก็โผล่ขึ้นมาให้เลือกซื้ออย่างรู้ใจบนฐานของข้อมูลขนาดใหญ่ ล่าสุด Coca Cola บริษัทเครื่องดื่มรายใหญ่ที่ใครก็รู้จัก เพิ่งเปิดตัวตู้หยอดเหรียญอัจฉริยะไปในนิวซีแลนด์และสหรัฐอเมริกา โดยตู้เหล่านี้ได้ติดตั้งระบบที่เชื่อมข้อมูลบน Cloud สามารถสั่งซื้อสินค้าจากที่ไหนก็ได้แล้วค่อยไปรับสินค้าจากตู้ และมีการใช้ Chatbot ร่วมด้วย
จะเห็นได้ชัดว่า ที่สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดตู้หยอดเหรียญที่ใหญ่ที่สุดโลก แต่ญี่ปุ่นก็เป็นตลาดที่น่าสนใจ เพราะตู้หยอดเหรียญได้รับความนิยมมากจริงๆ มีขายกันตั้งแต่ซุปปลาไปจนถึงลูกสุนัขตัวเล็กๆ โดยสัดส่วนตู้ต่อคนญี่ปุ่นอยู่ที่ 1 ต่อ 23 สำหรับประเทศไทยอาจต้องมาคิดชื่อใหม่สำหรับ “ตู้หยอดเหรียญ” เพราะต่อไปเทคโนโลยีจะพัฒนามากขึ้น และเหรียญก็จะกลายเป็นเรื่องล้าหลัง ก็เขาไปจ่ายเงินผ่านระบบ Mobile Payment กันหมดแล้ว