โอกาสของคนตัวเล็ก

  • ติดต่อเรา
  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อโฆษณา
Responsive image

ข้อดี ข้อเสีย ที่แตกต่างระหว่าง สร้างแบรนด์เอง VS ซื้อมาขายไป

เชื่อว่าหลายคนคงมีคำถามในหัวระหว่าง การสร้างแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ของตัวเอง หรือ รับสินค้าที่มีอยู่แล้วมาขาย แบบไหนจะดีกว่ากัน วันนี้ ชี้ช่องรวย มีข้อดี ข้อเสีย ของทั้ง 2 รูปแบบมานำเสนอให้ได้พิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล มาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง

“สร้างแบรนด์เอง”

ข้อดีของการสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง

1.การสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง เปรียบเสมือนการวางแผนระยะยาว เพื่อความมั่นคงของอาชีพ รายได้ และชีวิตในอนาคต ยิ่งถ้าแบรนด์ที่สร้างประสบความสำเร็จติดตลาด ก็สามารถนำแบรนด์ไปต่อยอดได้ง่ายขึ้น ทั้งขยายตลาดหรือผลิตสินค้าใหม่ภายใต้แบรนด์เดิม

2.สินค้ามีความน่าเชื่อถือและมีความน่าใช้งานมากขึ้น เพราะลูกค้าจะรู้สึกว่าการได้ซื้อของโดยตรงจากเจ้าของแบรนด์ ช่วยลดความเสี่ยงจากการลองผิดลองถูก สามารถสอบถามรายละเอียดและข้อสงสัยที่มีกับสินค้าได้โดยตรงจากเจ้าของ ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค

3.รู้จักและเข้าใจสินค้าเป็นอย่างดี เนื่องจากการทำแบรนด์เอง จะสามารถกำหนดรูปแบบ คุณภาพสินค้า วัสดุอุปกรณ์ ต้นทุน รวมถึงกระบวนการผลิตที่ตัวเองต้องการได้

4.มีอิสระในการบริหารจัดการ รวมถึงการตัดสินใจและกำหนดทิศทางของธุรกิจตัวเองได้อย่างเต็มที่ มีความยืดหยุ่นสูง ในการปรับเปลี่ยนพัฒนาสินค้าหรือธุรกิจ เช่น หากสังเกตเห็นว่ารุ่นไหนเป็นที่นิยม ขายดี ก็สามารถสั่งผลิตได้เรื่อยๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะหมดสต็อก หรือขาดตลาด

5.หากแบรนด์ของคุณเติบโตประสบความสำเร็จ ข้อดีอีกหนึ่งข้อ คือ ความภาคภูมิใจ และความสุขจากการที่คุณทำสิ่งที่ตั้งใจได้สำเร็จ

ข้อเสียของการสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง

1.ต้นทุนในการผลิตค่อนข้างสูง เนื่องจากต้องลงทุนตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การโปรโมท ไปจนถึงการขาย ยิ่งใครที่มีหน้าร้าน ก็จะมีต้นทุนค่าสถานที่ด้วย

2.มีโอกาสขาดทุนสูง เป็นผลมาจากการมีต้นทุนสูงแล้วกำไรที่ได้ ไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ รวมถึงการมีฐานลูกค้าไม่มากพอก็อาจส่งผลให้สินค้าที่ผลิตค้างสต็อก ขายไม่ได้ และขาดทุนในที่สุด

3.ใช้กำลังคนในการทำงานเพิ่มขึ้น ทั้งจากผลิต และการขายสินค้า หรือสำหรับใครที่ทำแบรนด์ตัวเอง แต่เป็นการจ้างผลิต ก็จะมีค่าใช้จ่ายในส่วนของการจ้างคนผลิตเพิ่มเติมด้วย

4.มีเรื่องกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งต้องคำนึงถึงเรื่องมาตรฐานและคุณภาพสินค้าเป็นพิเศษ

5.การสร้างแบรนด์เอง เป็นการเริ่มต้นจากศูนย์ ต้องใช้เวลาและอาจเกิดความล่าช้าไม่สามารถสร้างได้ทันที เพราะต้องผ่านหลายกระบวนการกว่าที่แบรนด์จะสำเร็จ ตั้งแต่การคิดสินค้าที่จะขาย คิดชื่อแบรนด์ เลือกรูปแบบสินค้า วัสดุอุปกรณ์ ขั้นตอนการผลิต ประเมินคุณภาพ ไปจนถึงการขาย และการโปรโมทแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก

“ซื้อมาขายไป”

ข้อดีของการซื้อมาขายไป

1.สามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ง่าย และรวดเร็ว หากรู้จักแหล่งผลิตหรือแหล่งขายสินค้า เพื่อรับมาขายต่อให้กับลูกค้า เปรียบเสมือนเป็นคนกลางระหว่างผู้ผลิตและลูกค้า โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก หรือเสียเวลาเพื่อสร้างแบรนด์ เพราะสินค้าส่วนใหญ่คือสินค้าที่กำลังเป็นที่นิยมของผู้บริโภค

2.มีแหล่งไปรับซื้อสินค้ามากมาย รวมถึงมีสินค้าให้เลือกรับซื้อมาขายหลากหลายประเภท ตามเทรนด์หรือความต้องการของผู้บริโภคในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งผู้ขายสามารถเลือกได้ว่าจะนำของแบรนด์อะไรมาขายบ้าง ยิ่งเป็นแบรนด์ที่มีคุณภาพ ลูกค้านิยม มีการรีวิวจากลูกค้าผู้ใช้จริง ก็จะยิ่งช่วยให้ร้านมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

3.สามารถเปิดร้านหรือลงทุนได้ในงบประมาณที่มี ไม่จำเป็นต้องหาทุนเพิ่ม เพราะการซื้อมาขายไป สามารถสั่งออเดอร์ได้ตามที่ต้องการ

4.ผู้ขายมีอิสระไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับใดๆ เพราะว่าการซื้อมาขายไป คือการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เพียงแต่ไม่ต้องผลิตด้วยตัวเองก็เท่านั้น

5.ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน ก็สามารถขายผ่านช่องทางออนไลน์ได้ รวมถึงสามารถทำเป็นอาชีพเสริมหรืออาชีพหลักก็ได้ เนื่องจากการซื้อมาขายไป ไม่จำเป็นต้องสต็อกของในปริมาณที่มาก และสามารถขายได้ทุกเวลา ทุกที่ ตามที่ต้องการ

ข้อเสียของการซื้อมาขายไป

1.แม้การซื้อมาขายไป จะสามารถตั้งราคาขายเองได้ แต่ก็ไม่ควรสูงเกินไปจากเจ้าอื่นที่รับสินค้ามาจากแหล่งเดียวกัน เพราะสินค้าส่วนใหญ่มักเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมทั้งจากลูกค้าและคนขาย หากตั้งราคาสูงเกินไปก็มีโอกาสที่ลูกค้าจะไปซื้อเจ้าอื่นที่ราคาถูกกว่า แต่ได้สินค้าที่ไม่ต่างกัน

2.เพราะเป็นธุรกิจที่สามารถเริ่มได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์มาก ทำให้มีผู้ที่สนใจทำธุรกิจเดียวกันจำนวนมาก ซึ่งเมื่อมีคู่แข่งเยอะก็ยิ่งลดโอกาสในการขายของ ทำให้ขายของได้ยากขึ้น

3.บางสินค้าเป็นสินค้าประเภทตามกระแสนิยม หากเราบริหารจัดการสต็อกไม่ดี สั่งซื้อทีละมากๆ เพื่อหวังกำไร เมื่อไหร่ที่กระแสลดลง ก็จะส่งผลให้ขายสินค้าไม่ได้ ค้างสต็อก นำไปสู่การขาดทุน การทำธุรกิจแบบนี้จึงต้องอาศัยหมั่นศึกษา ตามเทรนด์กระแสนิยมอยู่ตลอดเวลา

4.การซื้อมาขายไป เปรียบเสมือนแผนระยะสั้นของการทำธุรกิจเพื่อดำรงชีพมากกว่าเพื่อความมั่นคง เพราะเมื่อไหร่ที่สินค้ายังขายได้ ยังเป็นที่นิยม ผู้ขายก็จะยังมีรายได้อยู่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ขายไม่ได้แล้ว ตกเทรนด์ หรือแม้แต่สินค้าขาดตลาด รวมถึงเจ้าของเลิกผลิตไปแล้ว ก็จะส่งผลให้ผู้ขายไม่สามารถนำสินค้ามาขายต่อได้ ซึ่งทำให้รายได้ที่ควรจะได้นั้นลดลง

5.ได้กำไรต่อชิ้นน้อย เพราะธุรกิจซื้อมาขายไป ต่อให้รับสินค้ามาขายในราคาส่ง แต่ราคานั้นนอกจากต้นทุนการผลิตแล้ว ผู้ผลิตก็ได้บวกกำไรมาด้วย ทำให้ผู้ที่จะรับมาขายนั้น ไม่สามารถบวกกำไรเพิ่มได้มาก ซึ่งหากต้องการกำไรที่มาก ก็ต้องแลกด้วยการลงแรงขายสินค้าให้ได้จำนวนมากๆ หลายๆ ชิ้น

ถึงอย่างไรทั้ง 2 รูปแบบ มีความแตกต่างกันทั้ง ข้อดี และข้อเสียฉะนั้นควรเลือกในรูปแบบที่เหมาะสมกับตัวเราเองมากที่สุด เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดต่อการลงทุน