ปัจจุบันจากการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด 19 ทำให้ผู้คนให้มาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น และพยายามหาวิธีป้องกันรักษาเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง วันนี้ ชี้ช่องรวยมีสูตรน้ำสมุนไพรพื้นบ้านมาด้วยคุรประโยชน์มานำเสนอให้ลองไปทำทานกันดู “กระชาย” เป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านที่มีการใช้เป็นอาหารและยามานาน ภูมิปัญญาพื้นบ้านใช้แก้โรคที่เกิดในปาก เช่น ปากเปื่อย ปากเป็นแผล รักษาอาการจมูกไม่ได้กลิ่น ไซนัสอักเสบ ช่วยย่อยอาหาร เพิ่มสมรรถภาพทางเพศชองเพศชาย ยาอายุวัฒนะบำรุงกำลัง แก้ปวดเมื่อย แก้ลมวิงเวียน
มีการศึกษาพบว่า สารสกัดของกระชายสามารถแสดงฤทธิ์ในการต้านไวรัสซาร์ส ในระยะหลังการติดเชื้อและยังพบว่าสารแพนดูราทิน (pan-duratin) ของกระชายขาวมีฤทธิ์ในการต้านไวรัสทั้งในระยะก่อนและหลังการติดเชื้อ และยังมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเชื้อเอดส์ ต้านไวรัสไข้เลือดออกในกลุ่ม Flaviviridae family และยังยั้งเชื้อพิโคร์นาไวรัส (picornaviruses) ซึ่งก่อโรคมือเท้าปาก
นอกจากนี้ยังพบว่า ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ แต่ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในสัตว์ทดลองและในคนต่อไป
หากประชาชนต้องการใช้กระชายในช่วงนี้สามารถใช้ในรูปแบบของอาหารและเครื่องดื่มเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันได้
สูตรน้ำ “กระชาย” เสริมภูมิคุ้มกัน
1.กระชายสด 200 กรัม
2.ขิงสด 50 กรัม
3.ใบหูเสือ 10 ใบ
4.น้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม
5.น้ำสะอาด 1 ลิตร
6.มะนาว
7.น้ำผึ้ง
8.เกลือป่น
ขั้นตอนที่ 1 เตรียมน้ำสมุนไพร
1.ล้างกระชายและขิงให้สะอาด แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นนำไปปั่นให้ละเอียด
2.ต้มน้ำให้เดือด ใส่กระชายและขิงที่ปั่นละเอียดแล้ว ต่มเคี่ยวนาน 15 นาที เติมน้ำตาลทรายแดง
ลงไปคนให้ละลาย จากนั้นตั้งทิ้งไว้ให้เย็น
3.เตรียมน้ำคั้นหูเสือ โดยนำใบหูเสือ 10 ใบ ล้างน้ำให้สะอาดแล้วหั่นพอหยาบ ปั่นกับน้ำสะอาด 200 มิลลิลิตร คั้นเอาแต่น้ำ
ขั้นตอนที่ 2 ปรุงเครื่องดื่ม “กระชายช่วยชาติ”
1.ตวงไซรัปกระชายและขิง ใส่แก้ว 40 มิลลิลิตร (ผสมน้ำผึ้ง มะนาว เกลือตามชอบ)
2.เติมน้ำแข็งให้เต็มแก้ว เติมโซดา 80 มิลลิลิตร เติมน้ำคั้นใบหูเสือ 20 มิลลิลิตร
3.คนส่วนผสมให้เข้ากัน ดื่มเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรวันละ 1 - 2 ครั้ง
ข้อควรระวัง:
ไม่ควรบริโภคกระชายต่อเนื่องเป็นเวลานาน เนื่องจากกระชายมีฤทธิ์ร้อน อาจส่งผลให้เกิดอาการร้อนในหรือเป็นแผลในปากตามมา จากการศึกษาพบว่า การบริโภคกระชายมากๆ มีผลทำให้เกิดปัญหาเหงือกร่นและเกิดภาวะใจสั่นได้ และไม่ควรใช้ในผู้ที่มีความผิดปกติของตับและไต หญิงตั้งครรภ์
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร